ผู้ชมทั้งหมด 74
การเปลี่ยนแปลงของโลกในยุคปัจจุบัน ทั้งนโยบายการค้าการลงทุน เทคโนโลยีที่พัฒนาอย่างรวดเร็ว รวมถึงการให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม ล้วนเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้การดำเนินธุรกิจในอนาคตย่อมเปลี่ยนแปลงไป
บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ EGCO Group หนึ่งในผู้ผลิตไฟฟ้ารายใหญ่ของไทย เห็นความสำคัญของผลกระทบที่จะเกิดขึ้น จึงได้ปรับกลยุทธ์การลงทุนใน 3 ปี ข้างหน้าใหม่ พร้อมเตรียมทบทวนทิศทางการดำเนินธุรกิจขอวบริษัทย่อยที่มีอยู่กว่า 100 บริษัท แบ่งเป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจแล้ว 50 บริษัท และบริษัทที่จดทะเบียนไว้แล้วแต่ยังไม่ได้เปิดดำเนินการอีก 50 บริษัท ซึ่งได้จ้างบริษัทที่ปรึกษามาทบทวนความเหมาะสมของธุรกิจ ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จไตรมาสแรกปี 2568 (ม.ค.-เม.ย. 2568)
ดร.จิราพร ศิริคำ กรรมการผู้จัดการใหญ่ EGCO Group ระบุว่า ยุคของการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน EGCO Group ได้ทบทวนและปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจระยะ 3 ปี (ปี 2568-2570) โดยมีเป้าหมายสร้างความแข็งแกร่ง 3 ด้าน ได้แก่ การเพิ่มความสามารถในการสร้างรายได้และผลกำไรอย่างยั่งยืน การบรรลุเป้าหมายองค์กรคาร์บอนต่ำ และการปรับเปลี่ยนองค์กรเพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต ซึ่งเป้าหมายดังกล่าวนี้จะขับเคลื่อน
ด้วยกลยุทธ์ “Triple P” 3 ด้าน ได้แก่
• Profitability and Performance Energizing เพิ่มความสามารถในการสร้างรายได้และผลกำไรให้ดีขึ้น อย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งรักษาเสถียรภาพทางการเงิน เพื่อดูแลอัตราส่วนหนี้สินและรักษาอันดับความน่าเชื่อถือของบริษัท ตลอดจนให้ความสำคัญกับการดูแลผู้ถือหุ้น ด้วยนโยบายการจ่ายเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอ
• Power and Energy-related Focus เน้นลงทุนในธุรกิจไฟฟ้า ซึ่งเป็นธุรกิจหลักและรากฐานความแข็งแกร่งของ EGCO Group ทั้งโรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซธรรมชาติ ซึ่งมีความสำคัญต่อความมั่นคงของระบบไฟฟ้าในยุคเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน และโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน ผ่านการลงทุนทั้งรูปแบบ M&A และ Greenfield ตลอดจนแสวงหาโอกาสลงทุนในธุรกิจพลังงานที่เกี่ยวเนื่อง โดยต่อยอดการลงทุนในประเทศที่มีฐานธุรกิจอยู่แล้ว 8 ประเทศ ด้วยการตั้งงบลงทุนปีละ 30,000 ล้านบาท
• Portfolio and People Management บริหารจัดการพอร์ตการลงทุนและทรัพยากรบุคคลให้มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยมุ่งเน้นสร้างความเป็นเลิศในกระบวนการดำเนินงาน (Operational Excellence) ให้ความสำคัญกับการบริหารสินทรัพย์เชิงกลยุทธ์เพื่อนำรายได้ไปแสวงหาโอกาสการลงทุนใหม่ (Asset Recycling) ที่จะสร้างการเติบโตต่อเนื่องในระยะยาว พร้อมทั้งปรับเปลี่ยนโครงสร้างองค์กรเพื่อรองรับการขยายธุรกิจในระดับสากล ตลอดจนปรับปรุงกระบวนการดำเนินธุรกิจให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ด้วยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล ในกระบวนการต่าง ๆ เพื่อรองรับโอกาสการเติบโตทางธุรกิจในอนาคต
“EGCO Group เชื่อมั่นว่า กลยุทธ์ “Triple P” จะนำสู่การบรรลุเป้าหมายเป็นองค์กรคาร์บอนต่ำ ทั้ง 3 ระยะ ได้แก่ เป้าหมายระยะสั้น ภายในปี 2573 เพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเป็น 30% ของกำลังผลิตทั้งหมด เป้าหมายระยะกลาง ภายในปี 2583 มุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และเป้าหมายระยะยาว ภายในปี 2593 จะบรรลุการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์(Net Zero Carbon)”
ดร.จิราพร กล่าาว่า นโยบายของ โดนัล ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ที่มีทิศทางลดความสำคัญของพลังงานทดแทนลง บริษัทฯ มองว่าพลังงานทดแทนยังสำคัญต่อโลกในปัจจุบันและหลายประเทศยังต้องการเชื้อเพลิงสะอาด ดังนั้นบริษัทฯ จะเดินหน้าลงทุนพลังงานทดแทนในสหรัฐฯต่อไป ผ่านโครงการ APEX รวมถึงพิจารณาขยายการลงทุนพลังงานทดแทนโครงการใหม่ๆ เพิ่มเติมด้วย อย่างไรก็ตามบริษัทฯ จะติดตามนโยบายของทรัมป์อย่างใกล้ชิดต่อไป
ส่วนการลงทุนพลังงานทดแทนในประเทศไทย บริษัทฯ คาดหวังจะได้รับสิทธิ์ดำเนินโครงการไฟฟ้าสีเขียว เฟส 2 ประมาณ 10 โครงการ จากที่ยื่นเสนอโครงการไปมากกว่า 10 โครงการ คาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 3,000 ล้านบาท โดยบริษัทมั่นใจมีความพร้อมลงทุนผลิตไฟฟ้าพลังงานสะอาด และคาดรู้ผลประมาณภายในกลางเดือน ธ.ค. 2568
“ขณะนี้บริษัทฯ ได้เจรจาโครงการ M&A คาดว่าภายในไตรมาส 1 ปี 2568 จะรู้ผล 1 โครงการในประเทศ กำลังการผลิตประมาณ 500 เมกะวัตต์ และอีก 1 โครงการในต่างประเทศ อีกทั้งยังเจรจาโครงการในสหรัฐรัฐอีก 1-2 โครงการ”
สำหรับผลประกอบการในไตรมาสที่ ปี 2567 พบว่า ผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 3 ปี 2567 มีกำไรจากการดำเนินงาน 3,604 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 2,463 ล้านบาท โดยได้รับแรงหนุนจากผลประกอบการของโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ในต่างประเทศ
ขณะที่ 9 เดือนแรกของปี 2567 มีกำไรจากการดำเนินงาน 7,014 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 5,518 ล้านบาท ซึ่งมีปัจจัยสนับสนุนมาจากโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ในต่างประเทศ และ กลุ่มโรงไฟฟ้าในสหรัฐอเมริกา
นอกจากนี้ EGCO Group ยังสามารถผลักดันโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างให้มีความก้าวหน้าตามเป้าหมาย โดยเฉพาะ Yunlin ที่ติดตั้งเสากังหัน (Monopiles) และกังหันลม (Wind Turbine Generators – WTGs) ครบ 80 ต้น เรียบร้อยแล้ว และได้จ่ายไฟฟ้าเข้าระบบแล้วทั้งสิ้น 68 ต้น คิดเป็นกำลังผลิต 544 เมกะวัตต์ บริษัทมั่นใจว่าจะสามารถจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบครบ 640 เมกะวัตต์ ภายในสิ้นปีนี้
ปัจจุบัน EGCO Group มีกำลังผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้นรวมทั้งสิ้น 7,019 เมกะวัตต์ (รวมโรงไฟฟ้าที่เดินเครื่องเชิงพาณิชย์แล้วและโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง) โดยมีกำลังผลิตจากพลังงานหมุนเวียนรวม 1,463 เมกะวัตต์ (คิดเป็น 21% ของกำลังผลิตทั้งหมด) ทั้งจากชีวมวล พลังน้ำ พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลมทั้งบนบกและนอกชายฝั่งเซลล์เชื้อเพลิง และระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ ทั้งนี้ โรงไฟฟ้าและโครงการต่างๆ ตั้งอยู่ใน 8 ประเทศ ได้แก่ ไทย สปป.ลาว ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ออสเตรเลีย เกาหลีใต้ ไต้หวัน และสหรัฐอเมริกา
นอกจากนี้ ยังมีธุรกิจพลังงานที่เกี่ยวเนื่อง ได้แก่ บริษัท เอ็กโก เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ เซอร์วิส จำกัด “ESCO” ให้บริการงานเดินเครื่อง บำรุงรักษา วิศวกรรม ก่อสร้าง และการฝึกอบรมแก่โรงไฟฟ้าและโรงงานอุตสาหกรรมประเภทต่าง ๆ บริษัทโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภค “CDI” ในอินโดนีเซีย ระบบขนส่งน้ำมันทางท่อไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนือ “TPN” โครงการนิคมอุตสาหกรรมเอ็กโกระยอง “ERIE” บริษัทด้านการวิจัยเพื่อพัฒนานวัตกรรม “Innopower” และบริษัทเทคโนโลยีด้านการเงิน “Peer Power”