ราคาน้ำมันดิบสัปดาห์นี้อยู่ในระดับต่ำ หลังตลาดคลายกังวลจากเหตุความไม่สงบในตะวันออกกลาง

ผู้ชมทั้งหมด 75 

ไทยออยล์ ราคาน้ำมันดิบสัปดาห์นี้เคลื่อนไหวระดับต่ำ เหตุตลาดคลายกังวลสถานการณ์ความไม่สงบในตะวันออกกลางท่ามกลางการจับตาการเลือกตั้งสหรัฐฯ การประชุมคณะกรรมาธิการสภาประชาชนแห่งชาติจีน และท่าทีการปรับเพิ่มการผลิตของโอเปกพลัส คาดเวสต์เท็กซัส เคลื่อนไหวที่กรอบ 65-75 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนเบรนท์ เคลื่อนไหวที่กรอบ 70-80 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล

บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP เปิดเผย บทวิเคราะห์สถานการณ์น้ำมันประจำสัปดาห์ ระหว่างวันที่ 4 – 8 พ.ย. 67 พบว่า ราคาน้ำมันดิบยังคงมีแนวโน้มถูกกดดันอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากตลาดคลายกังวลเรื่องสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่มีแนวโน้มดีขึ้นจากการที่อิสราเอลเตรียมเดินหน้าเจรจาอีกครั้ง ขณะที่เลขส่งออกน้ำมันดิบคาซัคสถานมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นหลังเสร็จสิ้นการซ่อมบำรุงแหล่งผลิตน้ำมันดิบ Kashagan อย่างไรก็ดี ราคายังได้รับแรงหนุนเนื่องจากตลาดคาดกลุ่มโอเปกอาจพิจารณาการขยายระยะเวลาปรับลดกำลังการผลิตต่อเนื่องอย่างน้อย 1 เดือน

ขณะที่ตลาดจับตาผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ ที่จะจัดขึ้นวันที่ 5 พ.ย. 67 รวมไปถึงการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดและมาตราการกระตุ้นเศรษฐกิจจีนระลอกใหม่ที่คาดว่าจะช่วนหนุนความต้องการใช้น้ำมันให้ฟื้นตัวมากขึ้น

สำหรับปัจจัยสำคัญที่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ราคาน้ำมันในสัปดาห์นี้ ประกอบด้วย

• ตลาดคลายกังวลต่อสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางมากขึ้นหลังการโจมตีกันระหว่างอิสราเอลและอิหร่านมีแนวโน้มผ่อนคลายลง ขณะเดียวกันนายเบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอลเตรียมหารือกับคณะรัฐมนตรี ผู้นำเหล่าทัพ และหัวหน้าหน่วยข่าวกรองเกี่ยวกับการเจรจาหาทางออกทางการทูตเพื่อยุติสถานการณ์ความขัดแย้งในเลบานอนจากการโจมตีของอิสราเอลในช่วงที่ผ่านมาได้ลดอิทธิพลและขีดความสามารถของกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ลงมาก นอกจากนี้ มีรายงานจากแหล่งข่าวบางแหล่งระบุว่าที่ปรึกษาอาวุโสของนายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เดินทางเยือนอิสราเอลเพื่อพยายามบรรลุข้อตกลงยุติสงครามในเลบานอน

• ด้านอุปทานน้ำมันดิบ สำนักข่าวรอยเตอร์คาดการณ์ตัวเลขการส่งออกน้ำมันดิบคาซัคสถานผ่านท่อขนส่ง Caspian Pipeline Consortium (CPC) ปรับเพิ่มขึ้น 350,000 บาร์เรลต่อวันมาอยู่ที่ระดับ 1.42 ล้านบาร์เรลต่อวันหลังแหล่งน้ำมันดิบ Kashagan ที่มีกำลังการผลิตราว 400,000 บาร์เรลต่อวันจะมีกำหนดเสร็จสิ้นการปิดซ่อมบำรุงในช่วงต้นเดือน พ.ย. 67 อย่างไรก็ดี ราคาได้รับแรงหนุนเนื่องจากตลาดคาดกลุ่มโอเปกพลัสอาจพิจารณาเลื่อนแผนการปรับเพิ่มน้ำมันดิบจากกำหนดเดิมในเดือน ธ.ค. 67 ปริมาณ 180,000 บาร์เรลต่อวันออกไปอีกอย่างน้อย 1 เดือน

• ตลาดจับตาผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่จะมีขึ้นในวันที่ 5 พ.ย. 67 โดยผลสำรวจล่าสุดของ RealClear Politics ระบุว่านายโดนัลด์ ทรัมป์ได้รับคะแนนนิยมสูงกว่านางคามาลา แฮร์ริส ตัวแทนพรรคเดโมแครตในบริเวณรัฐสมรภูมิต่างๆ ทั้งนี้ ตลาดคาดหากโดนัลด์ ทรัมป์ชนะการเลือกตั้งสูงจะส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐดีขึ้น อย่างไรก็ดีนโยบาย American First ที่เน้นการปกป้องผลประโยชน์ของชาติอาจนำไปสู่การขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ ส่งผลกระทบต่อการค้าทั่วโลก รวมถึงทิศทางสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่อาจกลับมาตึงเครียดมากขึ้น

• ตลาดคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในการประชุมนโยบายวันที่ 6-7 พ.ย.นี้ โดยปรับลดลง 0.25% มาอยู่ที่ระดับ 4.50-4.75% ในการประชุมครั้งนี้ และปรับเพิ่มลด 0.25% ในการประชุมครั้งหน้าวันที่ 17-18 ธ.ค. 67 เนื่องจากตัวเลขอัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ ปรับตัวลดลงแตะระดับ 2.4% ในเดือน ก.ย. 67 ขณะที่ตลาดแรงงานก็มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นหลังตัวเลขอัตราการว่างงานเดือน ก.ย. 67 ปรับตัวลดลงต่ำกว่าที่ตลาดคาด ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลงจะช่วยกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจและหนุนความต้องการใช้น้ำมันให้ปรับตัวเพิ่มขึ้น

• ตลาดมีความหวังกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจีนระลอกใหม่มากขึ้นหลังมีข่าวระบุว่ารัฐบาลจีนกำลังพิจารณาอนุมัติวงเงินกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่กว่า 10 ล้านล้านหยวน ในการประชุมคณะกรรมาธิการสภาประชาชนแห่งชาติ (NPCSC) ที่จัดขึ้นในวันที่ 4-8 พ.ย. 67 โดยตลาดคาดการณ์ว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจดังกล่าวจะประกอบด้วยการออกพันธบัตรพิเศษวงเงินราว 6 ล้านล้านหยวนเพื่อช่วยรัฐบาลท้องถิ่นแก้ไขปัญหาหนี้สินนอกงบดุล และ การอนุมัติออกพันธบัตรพิเศษวงเงินราว 4 ล้านล้านหยวนสำหรับการจัดหาเงินทุนให้กับรัฐบาลท้องถิ่นในการซื้อที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ ทั้งนี้ ตลาดคาดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจีนหลายระลอกจะช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจ กระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจและหนุนความต้องการใช้น้ามันได้

• ตัวเลขทางเศรษฐกิจที่สำคัญที่น่าติดตามในสัปดาห์นี้คือ ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯ ได้แก่ ดุลการค้าเดือน ก.ย. 67 ยอดคำสั่งซื้อสินค้าจากโรงงานเดือน ก.ย. 67 ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคบริการเดือน ต.ค. 67 เศรษฐกิจที่สำคัญของยุโรป ได้แก่ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตเดือน ต.ค. 67 และดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคบริการเดือน ต.ค. 67 และเศรษฐกิจที่สำคัญของจีน ได้แก่ ดัชนีผู้ผลิตเดือน ต.ค. 67 ดัชนีราคาผู้บริโภคเดือน ต.ค. 67 ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคบริการเดือน ต.ค. 67

ทั้งนี้ ไทยออยล์ คาดราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสในสัปดาห์นี้จะเคลื่อนไหวที่กรอบ 65-75 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลส่วนน้ำมันดิบเบรนท์เคลื่อนไหวที่กรอบ 70-80 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล

ส่วนสรุปสถานการณ์ราคาน้ำมันในสัปดาห์ที่ผ่านมา ระหว่างวันที่ 28 ต.ค. – 1 พ.ย. 67 พบว่า ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสในสัปดาห์ที่ผ่านมาปรับลดลง 2.29 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ 69.49 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ในขณะที่ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ปรับลดลง 2.95 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ 73.10 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบดูไบปิดเฉลี่ยอยู่ที่ 73.46 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เนื่องจากการโจมตีฐานทัพอิหร่านของอิสราเอลเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาไม่ได้ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างพื้นฐานน้ำมันหรือโรงงานนิวเคลียร์ของอิหร่าน

ทั้งนี้ตลาดคาดการณ์ว่าความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและอิหร่านใกล้จะจบลงหลังอิสราเอลออกมากล่าวว่าการปฎิบัติการทางทหารสิ้นสุดลงแล้ว เช่นเดียวกับทางอิหร่านที่กล่าวว่าจะไม่ดำเนินการตอบโต้ใดๆ ขณะเดียวกันราคายังได้รับแรงกดดันจากการที่นายกรัฐมนตรีอิสราเอลได้เตรียมหารือเพื่อหาแนวทางการเจรจาทางการทูตเพื่อยุติสงครามในเลบานอน อย่างไรก็ดี ราคายังได้รับแรงหนุนจากการที่เลขาธิการองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (NATO) ได้ยืนยันว่ามีกองกำลังเกาหลีเหนือถูกส่งไปที่ภูมิภาค Kursk ของรัสเซียแล้ว พร้อมทั้งระบุว่าความร่วมมือทางทหารที่มากขึ้นระหว่างรัสเซียและเกาหลีเหนือเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงทั้งในอินโด-แปซิฟิกและ ยูโร-แอตแลนติก

ขณะเดียวกันกระทรวงพลังงานสหรัฐฯ ประกาศจัดซื้อน้ำมันดิบเพื่อเติมคลังสำรองปิโตรเลียมเชิงยุทธศาสตร์ปริมาณ 3 ล้านบาร์เรลสำหรับการส่งมอบในเดือน เม.ย.-พ.ค. 68 ที่คลัง Bryan Mound ในรัฐ Taxas ด้านสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐฯ (EIA) เปิดเผยตัวเลขน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ ประจำสัปดาห์สิ้นสุด ณ วันที่ 25 ตุลาคม 2567 ปรับตัวลดลง 0.5 ล้านบาร์เรล์ สู่ระดับ 425.5 ล้านบาร์เรล สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะปรับเพิ่มขึ้นเพียง 2.3 ล้านบาร์เรล