ปิโตรเคมีตกต่ำ!! SCG หยุดเดินเครื่อง LSP 6 เดือน ลดต้นทุน ลดเงินลงทุน ปิดกิจการไม่ทำกำไร

ผู้ชมทั้งหมด 357 

ปิโตรเคมีตกต่ำ!! SCG หยุดเดินเครื่องโครงการ LSP เวียดนาม 6 เดือน เร่งแก้เกมระยะสั้น ลดต้นทุนทั้งองค์กร ปิดกิจการไม่ทำกำไร ขณะที่ภาพรวมปี 67 ยังมั่นใจรายได้โต 3% ส่วนแนวโน้มปี 68 หวังเศรษฐกิจจีนดี ช่วยหนุนปิโตรเคมีฟื้นตัว

นายธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) (SCG) เปิดเผยว่า หลังจากธุรกิจปิโตรเคมีอยู่ในช่วงขาลง โดยมีราคาที่ตกต่ำ SCG จึงได้มหยุดเดินเครื่องโครงการลองเซิน ปิโตรเคมิคอลส์ (Long Son Petrochemicals – LSP) ในประเทศเวียดนาม 6 เดือน เริ่มตั้งแต่กลางเดือนตุลาคม 2567 หลังจากที่ได้เริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์แล้วเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2567 เนื่องจากกำลังการผลิตใหม่ เเละความต้องการเคมีภัณฑ์โลกชะลอตัว ส่งผลให้ส่วนต่างราคา (สเปรด) HDPE กับ Naphtha อยู่ที่ 300 เหรียญสหรัฐต่อตัน ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำมากจึงต้องหยุดเดินเครื่อง

อย่างไรก็ตามบริษัทจะมีการประเมินการกลับมาเดินเครื่องอีกครั้ง เมื่อสถานการณ์เหมาะสม หรือราคาเปรด HDPE กับ Naphtha ปรับขึ้นมาอยู่ในระดับ 400 เหรียญสหรัฐต่อตันก็พร้อมกลับมาเดินเครื่องผลิตทันที ทั้งนี้การหยุดเดินเครื่องโครงการ LSP จะทำให้บริษัทฯ มีภาระค่าใช้จ่ายทั้งดอกเบี้ยจ่าย ค่าแรงพนักงาน ค่าเสื่อมราคา และอื่นๆ รวม 20 ล้านเหรียญสหรัฐต่อเดือน

พร้อมกันนี้ในการสร้างศักยภาพเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันระยะยาว บริษัทฯ ได้ลงทุนการปรับปรุงกระบวนการผลิต LSP เพื่อสามารถรับก๊าซอีเทนประเทศสหรัฐอเมริกา ช่วยลดต้นทุนการผลิต เพราะเป็นวัตถุดิบที่ต้นทุนสามารถแข่งขันได้ในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีทั่วโลก และเพิ่มความยืดหยุ่นของวัตถุดิบในการผลิต ใช้เงินงบลงทุนประมาณ 700 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 23,000 ล้านบาท ส่วนใหญ่เพื่อสร้างถังรับก๊าซอีเทน และสาธารณูปโภคการรับวัตถุดิบ (Supporting Facilities) คาดว่าโครงการจะแล้วเสร็จปลายปี 2570 

ส่วนภาพรวมรายได้ในปี 2567 คาดว่าจะเติบโตเพียง 3% เทียบกับปีก่อนที่มีรายได้จากการขาย  499,646 ล้านบาท จากที่เคยตั้งเป้าไว้จะเติบโต 10% เนื่องจากเศรษฐกิจโลกที่ผันผวนรุนแรง วัฏจักรปิโตรเคมีทั่วโลกอ่อนตัวลากยาว สงครามตะวันออกกลาง สินค้าจากจีนเข้ามาแข่งขันภายในประเทศมากขึ้น รวมทั้งค่าเงินบาทผันผวน นับเป็นความท้าทายต่อการดำเนินธุรกิจและมีแนวโน้มที่จะยืดเยื้อยาวนาน

ทั้งนี้จากปัจจัยเสี่ยงเรื่องของสงครามตะวันออกกลาง สงครามรัสเซีย กับ ยูเครนมีแนวโน้มที่จะยืดเยื้อ เศรษฐกิจโลกผันผวน ปิโตรเคมีขาลง กลุ่ม SCG ดำเนินธุรกิจอย่างระมัดระวัง และรัดกุมยิ่งขึ้น โดย ตั้งเป้า 1) มุ่งลดต้นทุนภาพรวมองค์กร 5,000 ล้านบาท ภายในปี 2568  2) ลดเงินทุนหมุนเวียนลง 10,000 ล้านบาท ภายในไตรมาส 1 ปี 2568  3) ยกเลิกกิจการที่ไม่ทำกำไร เช่น SCG Express และธุรกิจด้านดิจิทัลเทคโนโลยี OITOLABS ในประเทศอินเดีย นอกจากนี้ยังมีกิจการที่ยังอยู่ระหว่างการพิจารณายกเลิก เเละ 4) ขายสินทรัพย์ (Asset Divestment)เพิ่มความคล่องตัวและมุ่งเน้นรักษาเสถียรภาพทางการเงิน

ประกอบกับยกระดับประสิทธิภาพการผลิต รักษา EBITDA ให้อยู่ในระดับที่สามารถแข่งขันได้ต่อเนื่อง อาทิ เพิ่มสัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงทดแทนโรงงานปูนซีเมนต์ในไทยร้อยละ 50 ภายในปีนี้ การใช้หุ่นยนต์อัตโนมัติ (Automation) ผลิตกระเบื้อง แม่นยำ รวดเร็ว ลดวัสดุเหลือใช้ เป็นต้น  อย่างไรก็ตาม SCG มีการลงทุนในอาเซียนอย่างต่อเนื่อง โดยช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา ยอดขายเติบโตร้อยละ 10 เมื่อเทียบกับปีก่อน จากประเทศเวียดนามและอินโดนีเซีย ขณะที่ภาพรวมรายได้ในช่วง 9 เดือนแรกปีนี้ SCG มีรายได้รวม 380,660 ล้านบาท โต 0.4% จากปีก่อน และกำไรสุทธิ 6,854 ล้านบาท ลดลง 75%จากปีก่อน

สำหรับแนวโน้มทิศทางผลประกอบการในปี 2568 ของ SCG นั้นต้องดูมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศจีน คาดว่ารัฐบาลจีนจะมีการประกาศออกมาอย่างต่อเนื่องในปี 2568 ถ้าหากเศรษฐกิจจีนเริ่มฟื้นตัวก็จะส่งผลดีต่อทั่วโลก  อีกปัจจัยหนึ่งที่จะช่วยสนับสนุนคือการลงทุนโครงการใหม่ของรัฐบาล ของภาครัฐ ที่จะเริ่มมีการเร่งลงทุนมากขึ้นในปีหน้า โดยเฉพาะโครงการโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ อาจจะเป็นปัจจับบวกต่อธุรกิจของกลุ่ม SCG ได้เป็นอย่างดี