กบน.พร้อมตรึงราคาน้ำมันดีเซล 33 บาทต่อลิตร เร่งเดินหน้าคืนหนี้ 1 แสนล้านให้จบปี 71

ผู้ชมทั้งหมด 394 

กบน.พร้อมพยุงราคาน้ำมันดีเซล 33 บาทต่อลิตร หลังครม.ไม่ต่ออายุหลังสิ้นสุด 31 ต.ค. เตรียมทยอยคืนหนี้เงินกู้กว่า 1 แสนล้าน เริ่ม 1 พ.ย.นี้ วางเป้าคืนหนี้หมดปี 71 ชี้สภาพคล่องกองทุนดีขึ้นเงินไหลเข้า 7,000 – 9,000 ล้านบาทต่อเดือน ขณะที่แผนรองรับวิกฤตการณ์ด้านน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2568 -2572 คาดแล้วเสร็จ ธ.ค.นี้

นายพรชัย จิรกุลไพศาล ผู้อำนวยการ สำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) กล่าวว่า ในปีงบประมาณ 2568 (ต.ค. 67- ก.ย. 68) คณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) จะทยอยชำระหนี้เงินกู้ยืมทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยจากสถาบันการเงิน โดยจะเริ่มชำระเงินต้นในเดือนพฤศจิกายน 2567 ประมาณ 139 ล้านบาท และเพิ่มการผ่อนชำระหนี้เงินต้นขึ้นเรื่อยๆ ในแต่ละเดือนตามวงเงินกู้ยืม ซึ่งในจำนวนนี้ยังไม่รวมดอกเบี้ยเงินกู้ยืมอีกประมาณ 250 – 300 ล้านบาท/เดือน ส่วนในเดือนธันวาคม 2567 ต้องคืนหนี้เงินต้นเพิ่มเป็น 278 ล้านบาท โดยหนี้เงินต้นสูงสุด 2,926 ล้านบาทในเดือนตุลาคม 2568 ซึ่งกบน.จะต้องพยายามบริหารจัดการเงินให้เพียงต่อการชำระคืนหนี้ในแต่ละเดือน คาดจะชำระหนี้เงินกู้เสร็จสิ้นทั้งหมด จำนวน 105,333 แสนล้านบาทในเดือนกันยายน 2571

ส่วนในปีงบประมาณ 2568 ในยังคงมีหลายปัจจัยที่สกนช.ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดกับสถานการณ์ที่จะมากระทบกับราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในตลาดโลก ไม่ว่าจะเป็นสงครามตะวันออกกลาง สงครารัสเซีย-ยูเครนที่ยังยืดเยื้อ ขณะที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกยังคงมีความผันผวน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องทางการเงินของกองทุนน้ำมันฯ ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ ต้องเรียกเก็บเงินไว้ในช่วงที่ยังมีภาระหนี้เงินกู้ยืม เพื่อเสริมสภาพคล่องทางการเงิน

พร้อมกันนี้ สกนช. ยังได้เร่งดำเนินการจัดทำแผนรองรับวิกฤตการณ์ด้านน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2568 -2572 เพื่อเสนอต่อ คณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนธันวาคม 2567 นอกจากนี้ สกนช. ยังได้เร่งดำเนินการสรรหาผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง คาดว่าจะเสร็จสิ้นภายในเดือนธันวาคม 2567

ส่วนกรณี ครม. มีมติไม่ต่ออายุมาตรการตรึงราคาน้ำมันดีเซล 33 บาทต่อลิตรที่สิ้นสุดวันที่ 31 ตุลาคม 2567 นั้น กบน. จะดำเนินการบริหารราคาน้ำมันดีเซลไว้ให้ไม่เกิน 33 บาทต่อลิตร ซึ่งปัจจุบันยังพอมีสภาพคล่องที่จะไปช่วยตรึงราคาน้ำมันดีเซลได้ แต่ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขราคาน้ำมันในตลาดโลกจะต้องไม่เกิน 100 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล โดยในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปีนี้แม้จะเป็นช่วงไฮซีซั่นก็เชื่อว่าราคาน้ำมันตลาดโลกจะเฉลี่ยในระดับ 86-90 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากปัจจุบันราคาน้ำมันตลาดโลกอยู่ในระดับ 81.68 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล

ทั้งนี้ในปัจจุบันกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเริ่มมีสภาพคล่องดีขึ้น โดยเริ่มมีรายรับราว 7,000 – 9,000 ล้านบาท/เดือน ส่งผลให้ประมาณการฐานะกองทุนจากวันที่ 28 กรกฎาคม 2567 ที่เคยติดลบ 111,663 ล้านบาท (โดยแบ่งเป็นบัญชีน้ำมันติดลบ 64,066 ล้านบาท และบัญชี LPG ติดลบ 47,597 ล้านบาท) เป็นติดลบเหลือ 99,087 ล้านบาท (โดยแบ่งเป็นบัญชีน้ำมันติดลบ 51,643 ล้านบาท บัญชี LPG 47,444 ล้านบาท) เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2567 แต่ล่าสุด ณ วันที่ 27 ต.ค. 2567 กองทุนฯ ติดลบรวม 92,041 ล้านบาท ซึ่งมาจากบัญชีน้ำมันติดลบรวม 44,564 ล้านบาท และบัญชี LPG ติดลบรวม 47,447 ล้านบาท ซึ่งสกนช.ต้องบริหารสภาพคล่องทางการเงินให้เพียงพอต่อการบริหารจัดการราคาน้ำมัน และราคา LPG พร้อมกับชำระคืนหนี้กู้ยืม

สรุปสถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในปีงบ 67

นายพรชัย ถึงผลการดำเนินการในรอบปีงบประมาณ 2567 ของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงว่า สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในรอบปีที่ผ่านมาเฉลี่ยราคาโดยรวมลดลงจากปีงบประมาณก่อนหน้านี้ โดยราคาน้ำมันดิบตลาดดูไบ อยู่ที่ 81.68 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล น้อยกว่าปีงบประมาณก่อนหน้าซึ่งอยู่  83.49 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ส่วนน้ำมันดีเซลเฉลี่ยอยู่ที่ 102.01 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เทียบกับปีก่อนหน้าอยู่ที่ 112.90 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล น้ำมันเบนซินเฉลี่ย 95.12 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เทียบกับปีก่อนหน้า 99.60 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล

อย่างไรก็ตามถึงแม้เฉลี่ยราคาน้ำมันดีเซลจะลดลงแต่ก็ยังอยู่ในอัตราที่สูงเกิน 100 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ซึ่งสาเหตุมาจากสถานการณ์การสู้รบระหว่างรัสเซีย-ยูเครนที่ยืดเยื้อ สงครามระหว่างอิสราเอล-ฮามาส ส่วนสถานการณ์ที่ทำให้ราคาน้ำมันปรับลงยังคงเป็นเรื่องของเศรษฐกิจ โดยเฉพาะประเทศจีนที่เศรษฐกิจชะลอตัวทำให้ความต้องการบริโภคน้ำมันลดลง

ด้านการรักษาระดับเสถียรภาพระดับราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิง กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมีการดำเนินการตามแผนวิกฤตการณ์ด้านราคาน้ำมันเชื้อเพลิง โดยการปรับอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ เพื่อให้ราคาขายปลีกปรับลดลงซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลช่วงระหว่างเดือนกันยายน 2566 ถึง มีนาคม 2567 รัฐบาลได้กลับไปตรึงราคาดีเซลที่ 30 บาท/ลิตร หลังจากที่ได้ขยับเพดานอยู่ที่ 32 บาท/ลิตรก่อนหน้านี้ ขณะเดียวกัน

มีการลดการจัดเก็บเงินในกลุ่มน้ำมันเบนซินลง 1 บาท/ลิตร เพื่อลดราคาขายปลีกลง 1 บาทในช่วงพฤศจิกายน 2566 – มกราคม 2567 ทำให้รายรับของกองทุนน้ำมันฯ น้อยลง โดยที่กองทุนน้ำมันฯ ยังต้องให้การอุดหนุนราคาน้ำมันอยู่  ส่วนก๊าซ LPG ก็ถูกตรึงราคาตลอดปีตั้งแต่เดือนตุลาคม 2566 จนถึงปัจจุบัน อยู่ที่ 423 บาท/ถังขนาด 15 กิโลกรัม ซึ่งจากสภาพคล่องที่มีอยู่ในปัจจุบันก็เชื่อมั่นว่าจะยังสามารถช่วยพยุงราคา LPG ให้อยู่ในระดับ 423 บาท/ถังขนาด 15 กิโลกรัมได้ตลอดในช่วงปีงบประมาณ 2568