ผู้ชมทั้งหมด 557
GC จ่อบันทึกด้อยค่า 2 บริษัทร่วมทุน “PTT Asahi และ Vencorex” วงเงินไม่เกิน 2 หมื่นล้านบาท หลังเผชิญอุปสรรคปิโตรเคมีขาลง คาดไตรมาส 4 ปีนี้ชัดเจนตัดสินใจเดินหน้าต่อหรือยุติกาลงทุน
นายณะรงค์ศักดิ์ จิวากานันต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างทบทวนความเป็นไปได้ในการทำธุรกิจในบริษัทที่ไม่สร้างผลกำไร หรือ มี EBITDA ติดลบอย่างต่อเนื่อง ซึ่งล่าสุดพบว่า มี 2 บริษัทที่เตรียมบันทึกด้อยค่า คือ บริษัท Vencorex France S.A.S.U (“Vencorex France”) และ Vencorex TDI S.A.S.U (“Vencorex TDI”) ซึ่งทั้งสองเป็นบริษัทย่อยทางอ้อมของบริษัทฯ ที่ได้ยื่นคำร้องต่อศาลแพ่ง เมืองลียง ประเทศฝรั่งเศส (“Commercial Court in Lyon”) เพื่อขอเข้าสู่กระบวนการปรับปรุงโครงสร้างทางธุรกิจในชั้นศาล ตามกฎหมายของประเทศฝรั่งเศส
และ บริษัท PTT Asahi ที่บริษัทถือหุ้น 50% ร่วมกับทางพันธมิตรญี่ปุ่น คือ บริษัท อาซาฮี คาเซอิ คอร์ปอเรชั่น ถือหุ้นสัดส่วน 50% โดยเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ทางพันธมิตรญี่ปุ่นได้ทบทวนพิจารณาเงินลงทุนต่าง ๆ พบว่าเรื่องของอุตสาหกรรมปิโตรเคมียังมีความท้าทายในระยะสั้น จึงตัดสินใจบันทึกด้อยค่าในบริษัท PTT Asahi ยอดรวม เป็นขาดทุน 4 หมื่นล้านเยน หรือประมาณ 9,326 ล้านบาท โดยบริษัทคาดว่า การบันทึกด้อยค่าจากทั้ง 2 บริษัทนี้จะมีมูลค่าไม่เกิน 2 หมื่นล้านบาท
“ธุรกิจที่มี EBITDA เป็นบวก ก็มีหลายธุรกิจ เช่น allnex ก็มีอัตรากำไรต่อเนื่อง แต่ที่ผ่านมาอาจมีช่วงที่ธุรกิจเผชิญกับสถานการณ์ธุรกิจขาลงทำให้ยอดขายลดลงบ้างแต่ก็ยังมีผลการดำเนินงานที่ดี ขณะที่การลงทุนใน เชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน หรือ SAF ก็คาดว่าจะมีกำไร เพราะโมเดลธุรกิจนำร่องที่วางไว้ในระยะแรกเป็นการลงทุนขนาดเล็กที่ปรับปรุงประสิทธิภาพของโรงกลั่น ซึ่งจะเริ่มผลิตและจำหน่ายปริมาณ 5 แสนลิตรต่อวัน ในช่วงเดือน ม.ค.2568 หรือ มีกำลังการผลิตรวม 2 หมื่นตันต่อปี ส่วนธุรกิจที่มี EBITDA เป็นลบ ก็ทบทวนการลงทุนตลอด ซึ่งใน 2 บริษัทที่เกิดการด้อยค่าทั้ง “PTT Asahi และ Vencorex” ก็คาดว่า ในไตรมาส4 นี้ จะมีความชัดเจนว่าบริษัทจะตัดสินใจอย่างไรต่อไป”
ส่วนการขับเคลื่อนธุรกิจปิโตรเคมีในช่วงขาลงนั้น บริษัทยังคงเปิดโอกาสในการมองหาพันธมิตรร่วมลงทุนต่อเนื่อง ซึ่งการจะตัดสินใจเลือกพันธมิตรจะต้องเน้นที่การมองภาพการลงทุนในระยะยาว
ขณะเดียวกันในด้านของการขับเคลื่อนธุรกิจเพื่อให้ตอบโจทย์ความยั่งยืนนั้น ที่ผ่านมาบริษัทได้มองหาโอกาสความร่วมมือกับพันธมิตรทั้งที่เป็นสถาบันการศึกษาเพื่อเข้าไปส่งเสริมสตาร์ทอัพในด้านต่างๆซึ่งก็ใช้เวลา 5-10 ปีเพื่อดูความเป็นไปได้ในการสร้างธุรกิจที่ตอบโจทย์ธุรกิจปิโตรเคมียั่งยืน บริษัทก็จะตัดสินใจเข้าไปขยายการลงทุนในธุรกิจนั้น ซึ่งที่ผ่ามาก็มีเข้าไปดีลหลายราย
ทั้งนี้ ปัจจุบัน บริษัทมีสัดส่วนรายได้ผลิตภัณฑ์เม็ดพลาสติกและเคมีภัณฑ์มูลค่าสูง (High Value Products: HVP) ประมาณกว่า 10% โดยตั้งเป้าหมายจะเพิ่มเป็น 20% ภายใน 3-5 ปี
สำหรับความคืบหน้าการก่อสร้างโรงงานผลิตพลาสติกชีวภาพชนิด แห่งที่ 2 ของบริษัท NatureWorks LLC (“NatureWorks”) ซึ่งตั้งอยู่ในโครงการ “นครสวรรค์ไบโอคอมเพล็กซ์ (NBC)” เฟส 2 คาดว่า จะเดินเครื่องการผลิตเชิงพาณิชย์(COD)ได้ปลายปี 2568