สนข.เดินหน้าศึกษาลดก๊าซเรือนกระจกภาคคมนาคม 45.61 ล้านตันในปี 73

ผู้ชมทั้งหมด 54 

กระทรวงคมนาคม ยกระดับลดก๊าซเรือนกระจกภาคคมนาคม 45.61 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (MtCO2) ภายในปี พ.ศ. 2573 สอดคล้องตามแผนปฏิบัติการลดก๊าซเรือนกระจก ปี พ.ศ. 2564 – 2573 (NDC Action Plan) ของประเทศ พร้อมจัดทำ Baseline data และ MRV เพื่อวิเคราะห์และติดตามประเมินผลการลดก๊าซเรือนกระจกในภาคคมนาคม

นายจิรโรจน์ ศุกลรัตน์ รองผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) เป็นประธานการสัมมนาเพื่อเผยแพร่โครงการ ครั้งที่ 1 การสัมมนาปฐมนิเทศโครงการ การศึกษาเพื่อจัดทำข้อมูลฐาน (Baseline data) และการประเมิน (Tracking) การลดก๊าซเรือนกระจก จากมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานของยานพาหนะ เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2567 ณ ห้อง Mayfair A แกรนด์บอลรูม โรงแรมเดอะ เบอร์เคลีย์ ประตูน้ำ กรุงเทพมหานคร โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน รัฐวิสาหกิจ สถาบันการศึกษา และสื่อมวลชน จาก 38 หน่วยงาน ประมาณ 120 คน เข้าร่วมการสัมมนาฯ

นายจิรโรจน์ กล่าวว่า ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภาวะโลกร้อน เป็นปัญหาสำคัญที่นานาประเทศทั่วโลกกำลังให้ความสำคัญในการร่วมมือเพื่อป้องกันและแก้ไขอย่างเร่งด่วน เนื่องจากปัญหาดังกล่าวส่งผลกระทบโดยตรงต่อความเป็นอยู่ของมนุษย์ อีกทั้งยังเป็นสาเหตุของปัญหาอื่น ๆ อีกมากมาย เช่น ปัญหาความแปรปรวนของสภาพอากาศ และปัญหาภัยพิบัติต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นน้ำท่วมหนักอย่างฉับพลัน ภัยแล้งที่รุนแรงและยาวนาน หรือเหตุการณ์หิมะตกในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิของกลุ่มประเทศยุโรปในปีที่ผ่านมา ซึ่งเกิดจากอุณหภูมิโลกที่สูงขึ้น

โดยโลกมีอุณหภูมิเพิ่มขึ้นแล้ว 1.3 องศาเซลเซียส จากค่าเฉลี่ยก่อนยุคอุตสาหกรรม ที่เกิดจากการเผาไหม้ถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ ตัวอย่างผลกระทบที่เกิดขึ้นกับประเทศไทย ที่เห็นได้อย่างชัดเจน เช่น ใน ภาคเหนือของประเทศไทย โดยเฉพาะในจังหวัดเชียงรายที่ได้รับผลกระทบจากพายุไต้ฝุ่นยางิพัดถล่ม ซึ่งเป็นพายุที่มีกำลังแรงมากที่สุดที่พัดถล่มในเอเชียปีนี้ มีปริมาณน้ำฝนเกิน 400 มิลลิเมตร

นอกจากนี้ในภูมิภาคนี้ยังได้รับผลกระทบจากพายุอื่น ๆ ที่สำคัญ เช่น พายุไต้ฝุ่นแกมี และพายุไต้ฝุ่นชานชาน และคาดการณ์ว่าในอนาคตจะมีโอกาสเกิดภัยพิบัติต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้น ซึ่งล้วนเป็นผลที่เกิดมาจากโลกที่มีอุณภูมิสูงขึ้นหรือภาวะโลกร้อน (Global Warming) ในปัจจุบันหลาย ๆ คนพูดว่า คือ ภาวะโลกเดือด (Global Boiling) ซึ่งอาจจะเป็นไปได้ในอนาคตอันใกล้ หากเราทุกคนไม่ตระหนักรู้และร่วมมือกันการแก้ไขปัญหา

นายจิรโรจน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ประเทศไทยของเราได้แสดงความมุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหานี้อย่างต่อเนื่อง โดยในการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 26 หรือ COP 26 เมื่อปี พ.ศ. 2564 (ค.ศ. 2021) ประเทศไทยได้ยกระดับเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกภายใต้แผนปฏิบัติการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ ปี พ.ศ. 2564 – 2573 (ค.ศ. 2021 – 2030) หรือ Thailand’s Nationally Determined Contribution Roadmap on Mitigation 2021 – 2030 หรือ NDC Roadmap จากเดิมร้อยละ 20 – 25 เป็นร้อยละ 30 – 40 ภายในปี พ.ศ. 2573 (ค.ศ. 2030) ซึ่งคิดเป็นการลดก๊าซเรือนกระจกประมาณ 167 – 222 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า

ส่วนของภาคคมนาคมขนส่ง ได้รับมอบหมายให้ลดก๊าซเรือนกระจกประมาณ 45.61 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ท้าทายอย่างยิ่ง แต่ด้วยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน สนข. เชื่อมั่นว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกตาม NDC รวมทั้งบรรลุเป้าหมายตามแผนระยะยาวในการมุ่งสู่การเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี พ.ศ. 2593 (ค.ศ. 2050) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ภายในปี พ.ศ. 2608 (ค.ศ. 2065) ของประเทศไทย ซึ่งภาคคมนาคมขนส่งจะมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเป้าหมายเหล่านี้

นายจิรโรจน์ กล่าวต่อว่า สนข. จึงได้ทำการศึกษาเพื่อจัดทำข้อมูลฐาน (Baseline data) และการประเมิน (Tracking) การลดก๊าซเรือนกระจกจากมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานของยานพาหนะ ซึ่งการศึกษานี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการส่งเสริมการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคคมนาคมขนส่งของประเทศไทย เพื่อจัดทำข้อมูลฐาน (Baseline data)

พร้อมจัดทำระบบการตรวจวัดรายงาน และทวนสอบ (MRV) ในการวิเคราะห์ ประเมินการลดการใช้พลังงานก๊าซเรือนกระจก และการฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) ของแผนงานโครงการในกลุ่มมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานของยานพาหนะ และกลุ่มมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพของระบบคมนาคมขนส่งและโลจิสติกส์ ซึ่งเป็นมาตรการหลักที่กระทรวงคมนาคมให้ความสำคัญ ประกอบด้วย มาตรการส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า มาตรการปรับปรุงอัตราการเก็บภาษีตามการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ มาตรการพัฒนาระบบขนส่งและโลจิสติกส์ระหว่างเมือง และมาตรการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการสนับสนุนด้านการคมนาคมขนส่ง

การดำเนินโครงการนี้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ. 2561 – 2580 แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ. 2566 – 2580 แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2566 – 2570) ตลอดจนแผนและนโยบายสำคัญอื่น ๆ ของประเทศ ซึ่งล้วนมุ่งเน้นการพัฒนาที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยมีระยะเวลาการดำเนินการ 540 วัน (ตั้งแต่วันที่ 10 กรกฎาคม 2567 – 31 ธันวาคม 2568)

สำหรับการจัดสัมมนาในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีส่วนร่วมในการพัฒนาและแลกเปลี่ยนความรู้ ตลอดจนให้ข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์สำหรับนำไปใช้ประกอบการศึกษาเพื่อจัดทำข้อมูลฐาน (Baseline data) และการประเมิน (Tracking) การลดก๊าซเรือนกระจกจากมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานของยานพาหนะให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ต่อไป