ผู้ชมทั้งหมด 503
ช่วง 2 ปีที่ผ่านมา บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด(มหาชน) หรือ IRPC ต้องเผชิญกับอุปสรรคในการขับเคลื่อนธุรกิจ ทั้งจากกำลังการผลิตสินค้าปิโตรเคมีที่ล้นตลาด และปัญหาส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์(สเปรด) ที่ลดลงทำให้บริษัทต้องปรับกลยุทธ์เพื่อประคองให้ธุรกิจอยู่รอดได้ และในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 IRPC มีรายได้สุทธิกว่า 148,710 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1% เมื่อเทียบกับงวดครึ่งแรก ของปี 2566 จากราคาขายเพิ่มขึ้น 9% ตามราคาน้ำมันที่สูงขึ้น รวมทั้งมีกำไรจากสต๊อกน้ำมันถึง 2,138 ล้านบาท ทำให้ EBITDA อยู่ที่ 6,118 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 187% ดันกำไรสุทธิ 812 ล้านบาท
ขณะที่ทิศทางการขับเคลื่อนธุรกิจในช่วงครึ่งหลังปี2567 IRPC ตั้งเป้าหมายจะ Boot Up EBITDA ให้เพิ่มขึ้นเพื่อให้ครอบคลุมกับการลดภาระรายจ่าย เช่น ค่าเสื่อมต่างๆ เพื่อรักษาการเติบโตของธุรกิจ
น.ส.เอธิตา อนันตธุรการ ผู้จัดการฝ่ายอาวุโส การเงินและนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด(มหาชน) หรือ IRPC ระบุว่า วางแนวทางปรับเพิ่มรายได้ ซึ่งจะเน้นเรื่องการทำการตลาดให้มากขึ้น ทั้งจาก โครงการปรับปรุงประสิทธิภาพโรงกลั่นและปรับปรุงคุณภาพน้ำมันดีเซลตามมาตรฐานยูโร 5 (Ultra Clean Fuel Project: UCF) ที่เปิดเดินเครื่องการผลิตเชิงพาณิชย์ ไปช่วง เม.ย.2567 จะช่วยให้บริษัทไม่ต้องส่งออกน้ำมันดีเซลกำมะถันต่ำ เพราะสามารถกลั่นมาขายในประเทศได้มากขึ้น ซึ่งจะทำให้บริษัทสร้างมาร์จิ้นได้มากกว่าเดิมที่ต้องส่งออกไปเอเชียฯ ส่วนธุรกิจปิโตรเคมี จะมีการปรับเพิ่มสัดส่วนการขายเม็ดพลาสติกชนิดพิเศษ (Specialty) จากกว่า 20% ในปัจจุบัน เป็น 30% ในปีนี้ และสู่เป้าหมาย 60% ในปี 2573 ซึ่งจะเพิ่มมาร์จิ้นให้กับบริษัท โดยในปีนี้จะมีการผลิตและส่งออกสินค้าพลาสติกสำหรับทำท่อฯใน 2 ประเภท ซึ่งมีลูกค้าในต่างประเทศรองรับแล้ว
นอกจากนี้ บริษัทยังวางแนวทางปรับลดต้นทุนในส่วนของรายจ่ายที่ไม่จำเป็น รวมถึงสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินทรัพย์ที่มีอยู่ โดยจะทำที่ดินและสินทรัพย์ที่มีอยู่มาพัฒนาต่อยอดสร้างธุรกิจใหม่ร่วมกับพันธมิตร ขณะที่ธุรกิจที่ร่วมลงทุนอย่าง ไออาร์พีซี คลีน พาวเวอร์ ก็สร้างรายได้ให้กับบริษัทไตรมาสละเกือบ 150 ล้านบาทต่อเนื่อง รวมถึงโครงการนิคมอุตสาหกรรม นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล เอสเตท ระยอง (WHAIER) อำเภอบ้านค่าย จังหวัดระยอง ก็จะมีการรับรู้รายได้เข้ามาในช่วงที่มีลูกค้ารับโอนที่ดิน อย่างช่วงไตรมาส 2 ปีนี้ ที่มีรายได้เข้ามา และคาดว่า ไตรมาสถัดไปก็จะมีเข้ามาเพิ่มเติม โดยขณะนี้ เฟสแรก โอนที่ดินได้แล้ว 400 ไร่ ที่เหลือกว่า 200 ไร่ อยู่ระหว่างรอลูกค้าจัดทำเอกสารเพื่อโอนที่ดิน ก็จะรับรู้รายได้เข้ามาเป็นก้อนอีกรอบ
อีกทั้งยังมีการทบทวนเงินลงทุนในส่วนของธุรกิจที่ยังไม่ทำกำไร ก็อาจมีการลดการลงทุนและหันไปลงทุนธุรกิจใหม่ที่จะสร้างกำไรในอนาคตแทน ซึ่งจะมีความชัดเจนช่วงปลายปีนี้ หรือต้นปีหน้า
ขณะเดียวกันยังมุ่งเน้นการลงทุนสร้างธุรกิจใหม่ที่เป็นการต่อยอดจากธุรกิจเดิม ที่นำเม็ดพลาสติกไปสร้างธุรกิจต่อเนื่องใน 5 กลุ่มธุรกิจ แต่หลักๆ จะเน้นไปที่ 2 ธุรกิจที่อยู่ระหว่างการศึกษาแบบเข้มข้นมากขึ้น ได้แก่ ธุรกิจรีไซเคิล ที่กำลังพิจารณาเรื่องกฎหมายในยุโรปที่กำลังจัดทำมาตรการภาษีเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม โดยศึกษาการทำธุรกิจ PP รีไซเคิล โดยหารือกับพันธมิตรท้องถิ่นเข้มข้นมากขึ้น คาดว่าจะเห็นความชัดเจนภายในสิ้นปีนี้ หรือต้นปีหน้า ก็คาดว่าจะเป็นส่วนที่เข้ามาเพิ่มรายได้และกำไรให้กับบริษัทได้ แต่ยังไม่มีสัดส่วนมากนัก เนื่องจากการทำเรื่องนี้ยังต้องรอติดตามเทรนด์ของโลกด้วยว่าจะได้รับความนิยมระดับใด
และอีกส่วนคือการนำที่ดินมาใช้ประโยชน์ ภายใต้ความร่วมมือกับโรงพยาบาลบางปะกอกและปิยะเวท ศึกษาธุรกิจโรงพยาบาลและที่พักเพื่อสุขภาพ (Hospital & Wellness center) จ.ระยอง ซึ่งจะมีกลุ่มลูกค้าในพื้นที่ และลูกค้าที่เป็นคนกรุงเทพฯ ที่ต้องเดินทางไปทำงานที่จ.ระยอง ในช่วงวันจันทร์-ศุกร์ คาดว่าธุรกิจนี้จะสร้างกำไรและผลตอบแทนที่ดีให้กับบริษัทได้ คาดว่าจะมีความชัดเจนได้ภายในปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า
สำหรับแนวโน้มการดำเนินธุรกิจในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 IRPC ประเมินว่า ธุรกิจปิโตรเลียม ภาพรวมคาดว่า จะปรับตัวดีขึ้นในระดับปานกลางถึงดีขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากดีเซลจะได้รับปัจจัยบวกจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ในแง่สงครามทะเลแดงที่จะช่วยพยุงราคาดีเซลได้ รวมถึงความต้องการใช้ดีเซลที่เพิ่มขึ้นในช่วงฤดูหนาว ก็จะเป็นปัจจัยสนับสนุนราคาดีเซล
ส่วนธุรกิจปิโตรเลียม คาดว่าจะอยู่ในรดับทรงตัวถึงดีขึ้นเล็กน้อย โดยได้รับปัจจัยหนุนจากผลิตภัณฑ์ ABS ที่ได้รับประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีน ที่มีเป้าหมายให้ GDP ปีนี้ โตระดับ 5% โดยมีการสนับสนุนการผลิตของภาคอุตสาหกรรม ทั้งในอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า(EV) และเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านและอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น รวมถึงมีคาดการณ์ว่า จะสนับสนุนการสต๊อกสินค้าเพื่อนำไปใช้ในช่วงปลายปีรับเทศกาลปีใหม่ด้วย
ขณะที่ผลิตภัณฑ์เม็ดพลาสติกชนิด PP คาดว่าจะทรงตัวหรือปรับตัวลดลง เนื่องจากได้รับแรงกดดันจากซัพพลายที่จะเข้ามามากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง แต่ในช่วงไตรมาส 3 จะยังได้รับแรงหนุนจากการที่จีน มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยเฉพาะในส่วนของผู้บริโภคปลายทาง ซึ่งจะหนุนให้ดีมานด์ของ PP เพิ่มขึ้น
ก่อนหน้านี้ IRPC ประเมินว่า สถานการณ์ตลาดน้ำมันช่วงไตรมาส 3 ปี2567 คาดว่าความต้องการใช้น้ำมันโดยรวมจะเพิ่มขึ้น โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากความต้องการผลิตน้ำมันเบนซินในช่วง Driving Season และความต้องการน้ำมันเตา เพื่อผลิตไฟฟ้าช่วงฤดูร้อนในกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง ขณะที่สถานการณ์ความขัดแย้งในหลายประเทศ ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญสร้างความไม่แน่นอนในตลาดน้ำมันดิบ
ส่วนตลาดปิโตรเคมี ช่วงไตรมาส 3 ปี2567 กำลังการผลิตใหม่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นมากกว่าความต้องการผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี กดดันให้ราคาผลิตภัณฑ์ในกลุ่มโอเลฟินส์ปรับตัวลดลง ขณะที่ความต้องการกลุ่มสไตรีนิกส์โดยเฉพาะ ABS มีแนวโน้มฟื้นตัว ดีขึ้นช่วงปลายไตรมาสนี้ เนื่องจากเข้าสู่ช่วง Manufacturing Season ของธุรกิจปิโตรเคมี