เยือน! วิสาหกิจชุมชนบ้านห้วยไห ชมโรงอบแห้งพลังงานแสงอาทิตย์ เสริมประสิทธิภาพผลิตภัณฑ์ หนุนรายได้เพิ่ม 30 %

ผู้ชมทั้งหมด 589 

การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน การส่งเสริมพลังงานชุมชนนั้นเป็นนโยบายที่สำคัญที่กระทรวงพลังงานทำมาอย่างต่อเนื่อง ในหลายพื้นที่ที่ได้รับการส่งเสริมงบกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานก็จะสามารถช่วยต่อยอดในการพัฒนาผลิตภัณฑ์แต่ละชุมชนได้เป็นอย่างดี และช่วยให้เกิดการใช้พลังงานทดแทนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ทั้งนี้ล่าสุดเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2567 ที่ผ่านมากระทรวงพลังงานนำคณะสื่อมวลชนสัญจรเข้าเยี่ยมชมโครงการวิสาหกิจชุมชนแปรรูปผลิตผลทางการเกษตรบ้านห้วยไห ตำบลบ้านค้อ อำเภอโพนสวรรค์ จังหวัดนครพนม ซึ่งอีกหนึ่งชุมชนที่ประสบความสำเร็จหลังจากได้รับการส่งเสริมจากกระทรวงพลังงานผ่านกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน

นางสาวมัณฑนา ฟูกุล พลังงานจังหวัดนครพนม กระทรวงพลังงาน กล่าวภายหลังการพาสื่อมวลชนเยี่ยมชมโครงการวิสาหกิจชุมชนแปรรูปผลิตผลทางการเกษตรบ้านห้วยไห ว่า กลุ่มวิสาหกิจฯ บ้านห้วยไห เป็นกลุ่มที่มีความเข้มแข็ง สร้างงาน สร้างรายได้ให้คนในชุมชน ด้วยการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากข้าวออแกนิค อาทิ ข้าวฮางงอกหอมมะลิ,ฮางงอกไรซ์เบอรี่,ฮางงอกข้าวเหนียวดำ,ข้าวกล้องหอมมะลิ,กล้องไรซ์เบอรี่ ,ข้าวกล้องข้าวเหนียวดำ,ข้าวบดผงหอมมะลิ,ข้าวบดไรซ์เบอรี่,ข้าวเหนียวดำบดผง, กล้วยตาก, สับปะรดแช่อิ่มอบแห้ง

พร้อมกันนี้ยังมีการแปรรูปข้าวเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เช่น เครื่องดื่มผงข้าวระยะน้ำนมผสมผักเคล ข้าวกล้องงอกผงชงพร้อมดื่ม และเครื่องดื่ม กล้วยน้ำว้าผงชงดื่ม, ผงตะไคร้ผสมใบเตย ที่ผ่านการพัฒนาผลิตภัณฑ์โดยกรรมวิธีที่สะอาดมีมาตรฐาน ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐหลายหน่วยงาน โดยในส่วนของการสนับสนุนด้านพลังงานได้รับงบประมาณจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ปี 2565 จำนวน 739,658 บาท ติดตั้งระบบอบแห้งพลังงานแสงอาทิตย์ ขนาด 8×20.80 เมตร เพื่อแปรรูปผลิตภัณฑ์จากข้าวที่มีการตากแห้ง ซึ่งการตากในรูปแบบเดิมมีพื้นที่ไม่เพียงพอ และผลิตสินค้าไม่ทันกับความต้องการของตลาด

​“การอบแห้ง ส่วนใหญ่จะใช้วิธีการตากแดดตามธรรมชาติ ซี่งใช้พื้นที่มาก อีกทั้งยังทำให้ผลิตภัณฑ์แห้งที่ได้มีการปนเปื้อนจากการรบกวนของแมลง ฝุ่นละออง และการเปียกฝน มีผลทำให้ผลิตภัณฑ์ไม่ได้มาตรฐาน  เมื่อชุมชนได้นำระบบอบแห้งพลังงานแสงอาทิตย์มาใช้ ช่วยเพิ่มผลผลิตจากเดิมที่ผลิตได้เพียงข้าวฮางงอก ข้าวกล้องงอก และข้าวหอมมะลิ แต่ปัจจุบัน มีการทำข้าวฮางบด กล้วยตาก สับปะรดแช่อิ่มอบแห้ง และผลิตภัณฑ์อื่นๆ ทำให้สินค้ามีมาตรฐาน และทำให้คนในชุมชนมีรายได้เพิ่มขึ้น เนื่องจากมีการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากข้าวได้หลากหลายขึ้น ทำให้สมาชิกไม่ต้องขายข้าวเปลือกธรรมดา มีการประกันราคาข้าวในแต่ละปีให้กับสมาชิกอีกด้วย” นางสาวมัณฑนา กล่าว

นางนิ่มอนงค์ แก้วไพศาล ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนแปรรูปผลิตผลทางการเกษตรบ้านห้วยไห  กล่าวว่า เกษตรกรผู้ปลูกข้าวบ้านห้วยไห ได้รวมกลุ่มกันจัดตั้งวิสาหกิจชุมชนแปรรูปผลิตผลทางการเกษตรบ้าน  ห้วยไห ในปี 2558 โดยมีสมาชิกจำนวน 12 คน โดยได้หาวิธีเพิ่มรายได้เพิ่มจากการปลูกข้าวอินทรีย์และแปรรูปผลิตภัณฑ์จากข้าว เช่น ข้าวกล้อง ข้าวฮางงอก และข้าวฮางงอกบด ทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้นจากเดิมประมาณ 30% ซึ่งต่อมาได้ขยายกลุ่มโดยการตั้งกลุ่มแปลงใหญ่ขึ้นในปี 2561 ภายใต้ชื่อ นาแปลงใหญ่บ้านห้วยไห ตำบลบ้านค้อ มีสมาชิก 53 คน ซึ่งทำการปลูกข้าวอินทรีย์ทั้งหมด 939 ไร่ นอกจากนั้นยังมีการแปรรูปผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรอื่นๆ เช่น สับปะรดแช่อิ่มอบแห้ง กล้วยตาก

นางนิ่มอนงค์ กล่าวเพิ่มเติมว่า การที่วิสาหกิจชุมชนได้รับการส่งเสริมงบกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานในการติดตั้งโรงอบแห้งพลังงานแสงอาทิตย์นั้นเป็นประโยชน์อย่างมากที่สามารถเข้ามาแก้ปัญหาด้านสุขอนามัยได้เป็นอย่างดี ขณะเดียวกันยังช่วยให้ได้ผลผลิตที่เพิ่มขึ้น คุณภาพของผลิตภัณฑ์ดีขึ้น และทำให้เกิดความเชื่อมั่นจากลูกค้าทั้งในไทยและต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม เพื่อช่วยให้เกิดประสิทธิภาพในการใช้พลังงานทดแทนได้มากขึ้นกว่าปัจจุบันทางวิสาหกิจชุมชนฯ อยากได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงพลังงานในการติดตั้งโซลาร์เซลล์บนหลังคา (โซลาร์รูฟท็อป)

สำหรับผลิตภัณฑ์ของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนแปรรูปผลิตผลทางการเกษตรบ้านห้วยไหในปัจจุบันนั้นมีผลิตภัณฑ์ 23 รายการ โดยช่องทางการจำหน่ายได้วางจำหน่ายในห้างสรรพสินค้าในไทยเป็นหลัก และจากการเติบโตของกลุ่มฯ ประกอบกับผลิตภัณฑ์บางรายการได้รับความสนใจจากตลาดต่างประเทศ ตนจึงได้จัดตั้งบริษัท เพชรไพศาลค่ำคูณ เพื่อรองรับและซื้อข้าวอินทรีย์จากสมาชิกกลุ่มมาแปรรูป และขยายตลาดส่งออกข้าวไปต่างประเทศ ซึ่งปัจจุบันผลิตภัณฑ์ประเภทข้าวไรซ์เบอร์รี่นั้นได้รับความสนใจจากตลาดในอังกฤษ และสหรัฐอเมริกา ส่วนผลิตภัณฑ์อาหารเสริมจากจมูกข้าวได้รับความสนใจจากตลาดในประเทศจีนและฮ่องกง ซึ่งคาดว่าจะเริ่มมีการส่งออกสินค้าไปต่างประเทศได้ภายในปีนี้