ผู้ชมทั้งหมด 368
“ราช กรุ๊ป” มั่นใจผลงานครึ่งปีหลังดีกว่าครึ่งปีแรก รับรู้รายได้เพิ่ม COD โรงไฟฟ้าใหม่ 4 โครงการ จ่อปิดดีล M&A เพิ่ม 5-6 โครงการ กำลังผลิตรวม 500 เมกะวัตต์ พร้อมเตรียมทบทวนแผนยุทธ์ศาสตร์ 5 ปีใหม่ มุ่งเน้นพลังงานสะอาด แย้มสนใจลงทุนโรงไฟฟ้า SMR เล็งจับมือพันธมิตรร่วมลงทุน ลั่นชะลอลงทุนธุรกิจสาธารณูปโภคโครงการใหม่เพิ่มเติม
นายนิทัศน์ วรพนพิพัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) RATCH ระบุว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในครึ่งหลังปี 2567 คาดว่าจะเติบโตขึ้นจากครึ่งปีแรก ตามทิศทางของโลกที่ให้ความสำคัญกับกำหนดเป้าหมายลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ และกระแสการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า(EV) ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่สนับสนุนความต้องการใช้พลังงานไฟฟ้าเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะเชื้อเพลิงที่มาจากพลังงานหมุนเวียน รวมถึงประเทศไทยยังเป็นหนึ่งในประเทศแถบอาเซียนที่เป็นเป้าหมายรองรับโอกาสจากการย้ายฐานการผลิตจากปัญหาสงครามการค้า
อีกทั้ง ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ บริษัท จะรับรู้รายได้เพิ่มจากโครงการโรงไฟฟ้าใหม่ที่จะเปิดเดินเครื่องการผลิตเชิงพาณิชย์(COD) อีก 4 โครงการ กำลังผลิตตามสัดส่วนถือหุ้น รวม 40 เมกะวัตต์ ได้แก่ โรงไฟฟ้าอาร์อีเอ็น โคราช, โรงไฟฟ้านวนครส่วนขยาย, โรงไฟฟ้าพลังน้ำซองเกียง1 เวียดนาม และโครงการกักเก็บพลังงานระบบแบตเตอรี่ LG2 ออสเตรเลีย
นอกจากนี้ บริษัท ยังอยู่ระหว่างเจราจาหาโอกาสเข้าลงทุนเพิ่มเติมทั้งโครงการในรูปแบบกรีนฟิลด์ และการควบรวมหรือซื้อกิจการ(M&A) ประมาณ 5-6 โครงการขนาดใหญ่ กำลังผลิตรวมราว 500 เมกะวัตต์ คาดว่าจะเห็นความชัดเจนได้ในปีนี้
อย่างไรก็ตาม บริษัท ได้เตรียมงบประมาณสำหรับใช้ขยายการลงทุนในช่วงที่เหลือของปีนี้ จำนวน 10,000 ล้านบาท เพื่อขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยส่วนใหญ่ราว 80% จะใช้สำหรับก่อสร้างโรงไฟฟ้าหินกอง โรงที่ 2 ที่มีกำหนด COD ช่วงต้นปี 2568 ซึ่งวงเงินดังกล่าวยังไม่รวมแผนฯทำดีล M&A
โดยปัจจุบัน บริษัท มีกำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัดส่วนการลงทุน รวม 10,817.28 เมกะวัตต์ แบ่งเป็นกำลังผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงฟอสซิล รวม 7,842.61 เมกะวัตต์ (72.5%) และกำลังผลิตจากพลังงานทดแทน รวม 2,974.67 (27.5%) ในปี 2567 จากเป้าหมายที่จะเพิ่มกำลังการผลิตจากพลังงานทดแทนให้ถึง 30% ในปี 2573 และ 40% ในปี 2578 ซึ่งคาดว่า จะบรรลุเป้าหมายดังกล่าวได้เร็วกว่าแผนที่ตั้งไว้
ดังนั้น บริษัท บริษัทฯ อยู่ระหว่างการทบทวนและกำหนดทิศทางการดำเนินธุรกิจ โดยยังคงมุ่งเน้นธุรกิจผลิตไฟฟ้าและพลังงาน พร้อมทั้งวางกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับบริบทการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานของโลกและประเทศ รวมถึงศักยภาพและขีดความสามารถของบริษัทฯ ส่วนรูปแบบการลงทุนจะเน้นโครงการประเภทกรีนฟิลด์และบราวน์ฟิลด์ โดยจะเข้าร่วมพัฒนาโรงไฟฟ้าในประเทศเป้าหมาย ซึ่งประเทศไทยและอินโดนีเซีย มีโอกาสลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และก๊าซธรรมชาติ สปป. ลาว มีศักยภาพที่จะลงทุนด้านพลังงานน้ำเพื่อส่งจำหน่ายให้กับประเทศไทย ส่วนออสเตรเลียมีศักยภาพพัฒนาโครงการพลังงานลม แสงอาทิตย์ ระบบกักเก็บพลังงาน และโครงการประเภท Synchronous Condenser ที่ต่อยอดจากโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้เริ่มศึกษาโมเดลการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้ารูปแบบใหม่ และเทคโนโลยีพลังงานอนาคต ที่สามารถต่อยอดจากสินทรัพย์และศักยภาพความสามารถของบริษัทฯ ที่มีอยู่แล้ว ได้แก่ โครงการกรีนไฮโดรเจน ได้ร่วมกับ BIG พัฒนาการผลิตไฮโดรเจนจากพลังงานทดแทนจากโครงการของบริษัทฯ ที่มีอยู่ในประเทศไทย สปป. ลาว ออสเตรเลีย เพื่อจำหน่ายภาคอุตสาหกรรม ภาคขนส่ง และการผลิตไฟฟ้าในอนาคต ระบบกักเก็บพลังงานในรูปแบบแบตเตอรี่ ซึ่งบริษัทย่อยในออสเตรเลียกำลังศึกษาโครงการขนาด 100 MW/200 MWh ในรัฐนิวเซาท์เวลส์ โครงการซื้อขายไฟฟ้าพลังงานสะอาดโดยตรงในประเทศไทย ซึ่งกำลังร่วมกับพันธมิตรศึกษาโครงการนำร่องในนิคมอุตสาหกรรม
และการผลิตไฟฟ้าจากนิวเคลียร์ขนาดเล็ก(SMR) ก็ได้ร่วมกับพันธมิตรทำการศึกษาเทคโนโลยี กฎระเบียบ และประเมินผลกระทบด้านต่างๆ เพื่อให้มั่นใจว่าจะมีความปลอดภัยสูงหากมีการนำมาใช้ อย่างไรก็ตาม การลงทุนโรงไฟฟ้า SMR ยังต้องรอฟังความชัดเจนจากภาครัฐว่าจะกำหนดให้รัฐวิสาหกิจ หรือ เปิดโอกาสให้ภาคเอกชน เป็นผู้ลงทุน
“การเปลี่ยนแปลงของนโยบายภาครัฐ โดยเฉพาะแผนPDP ฉบับใหม่ ที่ใส่เรื่องของ Direct PPA โรงไฟฟ้า SMR และกรีนไฮโดรเจนเข้ามา กระแสโลกที่มุ่งลดโลกร้อน ปัญหาสงครามการค้า และความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ล้วนเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการทำธุรกิจในอนาคต บริษัทจึงต้องทบทวนแผนยุทธ์การลงทุนใหม่ เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตต่อเนื่อง ขณะเดียวกันบริษัท จะกลับมาโฟกัสการลงทุนในธุรกิจพลังงานเป็นหลัก เพราะเป็นการลงทุนในธุรกิจที่บริษัทมีความถนัด ส่วนการลงทุนในธุรกิจสาธารณูปโภคพื้นฐานจะยังไม่มีการลงทุนในโครงการใหม่ๆเพิ่มเติม คาดว่า แผนยุทธ์ศาสตร์ใหม่ จะมีความชัดเจนในต้นปีหน้า”
อย่างไรก็ตาม บริษัท ยังเดินหน้าบริหารโครงการในมือที่มีอยู่แล้วให้เสร็จตามเป้าหมาย ซึ่งปัจจุบันมี 15 โครงการ กำลังผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้น รวม 1,773 เมกะวัตต์
ส่วนแผนการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว(LNG) เพื่อมาให้เป็นเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้า ในโรงไฟฟ้าหินกองนั้น ในปีนี้ น่าจะเหลือการนำเข้าอีก 6 ลำ จากครึ่งปีแรกนำเข้ามาแล้วประมาณ 4 ลำ ปริมาณรวมราว 8 แสนตันเพื่อมาใช้ในโรงไฟฟ้าหินกอง โรงแรก และในปีหน้า คาดว่าจะมีการนำเข้า LNG มาขึ้นเพื่อมาใช้ในโรงไฟฟ้าหินกอง โรงที่2