สะพานมิตรภาพไทย – ลาว แห่งที่ 5 บึงกาฬ – บอลิคำไซเปิดให้บริการปีนี้ 

ผู้ชมทั้งหมด 200 

กรมทางหลวง เร่งก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย – ลาว แห่งที่ 5 (บึงกาฬ – บอลิคำไซ) จ.บึงกาฬ คืบหน้ากว่า 93% เพื่อส่งเสริมระบบโลจิสติกส์ระหว่างประเทศ คาดเปิดให้บริการได้ภายในปี 67 เชื่อมต่อเส้นทางตามแนวระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก – ตะวันตก ไปยังท่าเรือน้ำลึก ที่เมืองวุงอ่าง และเมืองดานัง ประเทศเวียดนาม

นายสราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดีกรมทางหลวง เปิดเผยว่า ตามที่กรมทางหลวงได้ดำเนินการโครงการก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 5 (บึงกาฬ-บอลิคำไซ) จังหวัดบึงกาฬ ตามนโยบายตามยุทธศาสตร์ชาติ ด้านการสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันผ่านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งและระบบโลจิสติกส์ เพื่อเชื่อมระหว่างประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านอย่างไร้รอยต่อ ในการตอบสนองต่อความต้องการด้านการขนส่งสินค้าและการสัญจรของประชาชนที่เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทยและสปป.ลาว นั้น ซึ่งปัจจุบันงานถนนและด่านพรมแดนฝั่งไทย งานถนนและด่านพรมแดนฝั่ง สปป.ลาว ได้ดำเนินการแล้วเสร็จ อยู่ระหว่างดำเนินการงานสะพานข้ามแม่น้ำโขงฝั่งไทยและงานสะพานข้ามแม่น้ำโขงฝั่ง สปป.ลาว โดยโครงการมีผลการดำเนินงานภาพรวมคืบหน้ากว่า 93.71% (ข้อมูลเดือน มิ.ย. 67)

โครงการก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 5 จ.บึงกาฬ มีระยะทางประมาณ 16.340 กิโลเมตร แบ่งการดำเนินงานออกเป็น 5 ตอน ฝั่งไทย 3 ตอน และฝั่ง สปป.ลาว 2 ตอน ตั้งอยู่ในพื้นที่ อ.เมืองจ.บึงกาฬ และเมืองปากซัน แขวงบอลิคำไซสปป.ลาว โดยแนวเส้นทางในประเทศไทย มีจุดเริ่มต้นโครงการแยกจากทางหลวงหมายเลข 222 ซึ่งเป็นถนนเชื่อมต่อสายสำคัญ ระหว่างจังหวัดสกลนครและจังหวัดบึงกาฬ โดยสามารถเชื่อมต่อกับเส้นทางตามแนวระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก (East-West Economic Corridor – EWEC) ไปยังท่าเรือน้ำลึก ที่เมืองวุงอ่าง และเมืองดานัง ประเทศเวียดนาม ในส่วนแนวเส้นทางฝั่ง สปป.ลาว จะเชื่อมต่อกับถนนหมายเลข 13 ต่อไปยังถนนหมายเลข 8 ซึ่งเป็นเส้นทางจาก สปป.ลาว ไป เมืองวินห์ เมืองฮานอย ประเทศเวียดนาม และเชื่อมต่อไปยังประเทศจีนทางตอนใต้ ผ่านทางหลวงอาเซียนหมายเลข 1 (AH1) ประเทศเวียดนาม

ทั้งนี้ เมื่อดำเนินโครงการการแล้วเสร็จจะช่วยส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานที่ได้พัฒนาไว้แล้วของแต่ละประเทศให้เกิดประโยชน์สูงสุด เกิดการเชื่อมโยงระหว่างท่าเรือที่สำคัญในภูมิภาค สามารถลดต้นทุนและระยะเวลาในการขนส่ง ตลอดจนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของทั้งสองประเทศในเวทีโลก โดยคาดว่าจะเปิดให้บริการแก่ประชาชนของทั้งสองประเทศได้ภายในปี 2567