บางจากฯ ผนึก ซูมิโตโม ยกระดับ SAF จากน้ำมันใช้แล้วจากการปรุงอาหาร

ผู้ชมทั้งหมด 696 

บางจากฯ จับมือ ซูมิโตโม ยกระดับการผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (SAF) จากน้ำมันใช้แล้วจากการปรุงอาหาร มุ่งมั่นสร้างสรรค์สิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืนร่วมกัน

บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และ ซูมิโตโม คอร์ปอเรชั่น (กลุ่มธุรกิจด้านเคมี) บริษัทการค้าและการลงทุนชั้นนำระดับโลก จากประเทศญี่ปุ่น ผนึกพลังความร่วมมือเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ด้วยการลงนามกรอบข้อตกลงความร่วมมือการจัดหาน้ำมันปรุงอาหารใช้แล้ว และการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน นับเป็นการเดินหน้าที่สำคัญในความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ระหว่างสองบริษัท ตอกย้ำความมุ่งมั่นร่วมกันในการพัฒนาอย่างยั่งยืนควบคู่กับการดูแลสิ่งแวดล้อม

นายธรรมรัตน์ ประยูรสุข รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มธุรกิจโรงกลั่นและการค้าน้ำมัน บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ร่วมลงนามกับ Mr. Yutaka Takamura, General Manager of Green Chemical, Strategic Business Unit (SBU), Chemical Solution Group ซูมิโตโม คอร์ปอเรชั่น โดยมี Mr. Takashi Tanaka, General Manager of the Asia & Oceania Chemical Solutions Business Unit at Sumitomo Corporation Asia and Oceania Pte. Ltd. และ นางองค์อร เปลี่ยนรังษี กรรมการผู้จัดการ บริษัท บีซีพีที จำกัด ร่วมลงนามเป็นพยาน นับเป็นการเริ่มต้นความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ระหว่างสองบริษัทเพื่อสร้างห่วงโซ่อุปทานการนำน้ำมันปรุงอาหารใช้แล้วมาสู่การผลิตและจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (UCO-to-SAF) ที่แข็งแกร่งและมีประสิทธิภาพ

นายธรรมรัตน์ กล่าวว่า การลงนามในข้อตกลงนี้ เป็นก้าวสำคัญในความร่วมมือกันระหว่างบริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และ ซูมิโตโม คอร์ปอเรชั่น เพื่อพัฒนาการดำเนินการลดการปล่อยคาร์บอน ความร่วมมือเชิงกลยุทธ์นี้ แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นร่วมกันในการดำเนินการให้บรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ (Net Zero GHG Emissions) และขับเคลื่อนการพัฒนาพลังงานสะอาดเพี่ออนาคต การผนึกกำลังของบางจากฯ และซูมิโตโมมีเป้าหมายที่จะสร้างมูลค่าร่วมกัน ควบคู่กับการไปสู่เป้าหมายที่ท้าทายด้านความยั่งยืน

บางจากฯ ในฐานะผู้บุกเบิกธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน หรือ Sustainable Aviation Fuel (SAF) ในประเทศไทย ได้ประกาศแผนดำเนินการผลิตเมื่อเดือนกันยายน 2565 ด้วยการก่อสร้างหน่วยผลิต SAF จากน้ำมันปรุงอาหารใช้แล้ว หรือ Used Cooking Oli (UCO) ที่โรงกลั่นน้ำมันบางจาก พระโขนง กรุงเทพฯ มีกำลังการผลิต 1,000,000 ลิตรต่อวัน ซึ่งการริเริ่มผลิต SAF เป็นความมุ่งมั่นในด้านนวัตกรรมพลังงานสีเขียว สอดคล้องกับเป้าหมายของกลุ่มบริษัทบางจาก

ในการบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2573 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2593 สะท้อนความเป็นผู้นำในการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน ที่มีความมุ่งมั่นทุ่มเทในภารกิจด้านการดูแลสิ่งแวดล้อม และเป็นการลงทุนเพื่ออนาคต สำหรับในโลกของเราและคนรุ่นต่อไป

บางจากฯ ในฐานะผู้บุกเบิกธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน หรือ Sustainable Aviation Fuel (SAF) ในประเทศไทย ได้ประกาศแผนดำเนินการผลิตเมื่อเดือนกันยายน 2565 ด้วยการก่อสร้างหน่วยผลิต SAF จากน้ำมันปรุงอาหารใช้แล้วที่โรงกลั่นน้ำมันบางจาก พระโขนง กรุงเทพฯ ด้วยกำลังการผลิตเบื้องต้น 1,000,000 ลิตรต่อวัน ซึ่งการริเริ่มผลิต SAF สอดคล้องกับเป้าหมายของกลุ่มบริษัทบางจากในการบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2573 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2593 และสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ Fly Net Zero ของสมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ หรือ IATA ความมุ่งมั่นของบางจากฯ ที่จะผลิด SAF สะท้อนความทุ่มเทในภารกิจด้านการดูแลสิ่งแวดล้อม และความเป็นผู้นำการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน

ในช่วงต้นปี 2567 บางจากฯ ได้ประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์ ก่อสร้างหน่วยผลิตน้ำมันอากาศยานยั่งยืนแห่งแรกในประเทศไทย ซึ่งคาดว่าจะสามารถเริ่มผลิต SAF ได้ภายในไตรมาส 1 ปี 2568 โดยหน่วยผลิต SAF ประกอบด้วย 2 หน่วยหลักคือ หน่วยปรับปรุงคุณภาพน้ำมันใช้แล้ว (Pretreating Unit, PTU) และหน่วยผลิตเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuel Unit, SAFU) ซึ่งทั้งสองหน่วยผลิตจะใช้เทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัยจากบริษัทผู้ให้บริการด้านเทคโนโลยีชั้นนำระดับโลก

ใน พ.ศ. 2564 IATA ได้ประกาศพันธสัญญา “Fly Net Zero” เป็นการตั้งเป้าหมายร่วมกันของสายการบินทั่วโลกในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ภายใน พ.ศ. 2593 แสดงถึงความตั้งใจของอุตสาหกรรมการบินที่มีความเป็นเอกภาพในการปฏิบัติเพื่อบรรลุเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศตามข้อตกลงปารีส (Paris Agreement) การบรรลุเป้าหมายที่ท้าทายนี้ จำเป็นต้องมีการดำเนินการร่วมกันจากภาคส่วนต่างๆ โดยมี SAF เป็นองค์ประกอบสำคัญ โดย จะช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศได้ประมาณร้อยละ 80 เทียบกับการบินด้วยเชื้อเพลิงการบินที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน