ผู้ชมทั้งหมด 652
AOT โชว์ศักยภาพดันไทยเป็นฮับการบินภูมิภาคอาเซียน บุกตลาดยุโรปร่วมงาน International Tourismus Borse กรุงเบอร์ลิน เยอรมนี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 7 มี.ค.ณ ศูนย์การจัดนิทรรศการ Messe Berlin Exhibition Ground กรุงเบอร์ลิน สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เยี่ยมชมบูธนิทรรศการบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (AOT) กรือ ทอท.ในคูหาของประเทศไทย โดยมี พลตำรวจเอก วิสนุ ปราสาททองโอสถ ประธานกรรมการ AOT และ ดร.กีรติ กิจมานะวัฒน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ AOT นายเอนก ธีระวิวัฒน์ชัย รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ (สายงานยุทธศาสตร์) และนางสาวผานิต เสถียรเสพย์ ผู้อำนวยการสำนักกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ให้การต้อนรับ
โดยภายในบูธ AOT ได้มีการนำเสนออาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ (Satellite1: SAT-1) ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ที่มีการตกแต่งสถาปัตยกรรมให้สอดคล้องกับอาคารผู้โดยสารหลัก โดยผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรม ศิลปะที่สะท้อนเอกลักษณ์ความเป็นไทยให้กลมกลืนไปกับโครงสร้างอาคารที่ทันสมัย นอกจากนี้ ยังมีการนำเสนอโครงการพัฒนาท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่งผ่านสื่อมัลติมีเดีย รวมทั้งยังได้จัดทำแบบสอบถามความพึงพอใจในการใช้บริการท่าอากาศยานของ AOT เพื่อนำข้อมูลดังกล่าวไปปรับปรุงและพัฒนาการให้บริการของ AOT ต่อไป
ทั้งนี้ นายเศรษฐา ได้กล่าวปาฐกถาในงาน The Amazing Thailand Networking Event with the Prime Minister of Thailand ณ ห้อง M1-M2 อาคาร City Cube Berlin ว่า โครงสร้างพื้นฐานที่จะเป็นปัจจัย
ในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการบินให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ภายใน 10 ปีนี้ รวมถึงโครงการก่อสร้างสนามบินล้านนา (ท่าอากาศยานเชียงใหม่แห่งที่ 2) และสนามบินอันดามัน (ท่าอากาศยานภูเก็ตแห่งที่ 2) ซึ่งเมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จจะเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารได้อีก 40 ล้านคนต่อปี รวมทั้งพัฒนาสนามบินในประเทศไทยที่มีอยู่ในปัจจุบัน ควบคู่ไปกับการพัฒนาการให้บริการภายในสนามบินเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวมายังประเทศไทยมากขึ้น
โดย AOT มุ่งมั่นพัฒนาสนามบินในความรับผิดชอบให้มีความพร้อมให้บริการผู้โดยสารด้วยมาตรฐานเหนือระดับ เพื่อส่งมอบประสบการณ์การเดินทางที่น่าประทับใจ ซึ่งจะช่วยส่งเสริมอุตสาหกรรมการบินและการท่องเที่ยวของประเทศให้เติบโต ตลอดจนเป็นการสร้างรายได้และกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศได้อย่างยั่งยืนตามนโยบายของรัฐบาลต่อไป