ผู้ชมทั้งหมด 515
บีไอจี จับมือ RATCH ร่วมกันศึกษาการผลิตกรีนไฮโดรเจนจากโซลาร์ฟาร์มลอยน้ำในพื้นที่โรงไฟฟ้าราชบุรี แห่งแรกในไทย หวังเป็นเชื้อเพลิงหลักในการขนส่ง
นายจตุพร โสภารักษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรี จำกัด บริษัทย่อยของบริษัท ราชกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ RATCH กล่าวว่า บมจ.ราชกรุ๊ป ตั้งเป้าเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตเพื่อลดก๊าซเรือนกระจก ขยายการลงทุนในธุรกิจสีเขียว ในโอกาสนี้โรงไฟฟ้าราชบุรีจึงได้ร่วมมือศึกษาความเป็นไปได้ในการผลิตไฮโดรเจนจากโซลาร์ฟาร์มลอยน้ำ (Solar Floating Project) ขนาด 2 MW ซึ่งมีการติดตั้งอยู่แล้วในพื้นที่อ่างเก็บน้ำดิบของโรงไฟฟ้าราชบุรี เพื่อเป็นเชื้อเพลิงในการขนส่ง
โดยการศึกษาครั้งนี้ นอกจากจะเป็นการหาแนวทางการพัฒนาโครงการที่สามารถเป็นไปได้ในพื้นที่โรงไฟฟ้า หลังจากหมดอายุสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับ กฟผ. แล้ว ยังเป็นการเตรียมความพร้อม สำหรับการประกาศความมุ่งมั่นความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2570 ของ บมจ.ราชกรุ๊ป เนื่องจากไฮโดรเจนจากกระบวนการผลิตนี้ จะเป็นกรีนไฮโดรเจน ซึ่งเรียกได้ว่า เป็นพลังงานสะอาด ที่เกิดจากการนำพลังงานหมุนเวียนอย่างพลังงานแสงอาทิตย์ มาใช้ในการแยกไฮโดรเจนจากน้ำ โดยไม่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในกระบวนการผลิต นับเป็นหนึ่งพลังงานทางเลือก ที่ทั่วโลกให้ความสนใจ เนื่องจากลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญ ของปัญหา การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
นายปิยบุตร จารุเพ็ญ กรรมการผู้จัดการ บีไอจี กล่าวว่า บีไอจีเดินหน้าในการนำนวัตกรรมจากไฮโดรเจนที่บีไอจีและแอร์โปรดักส์ บริษัทแม่ของบีไอจีจากประเทศสหรัฐฯ มีความชำนาญและเป็นผู้ลงทุนโครงการกรีนไฮโดรเจนรายใหญ่ที่สุดของโลก มุ่งมั่นในการสร้างความยั่งยืนในระดับสากล มีกลยุทธ์ Generating A Cleaner Future ร่วมกับทุกภาคส่วน บีไอจีตระหนักถึงการใช้พลังงานสะอาดเพื่อร่วมผลักดันการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน (Energy Transition) ในประเทศไทยด้วยการผลักดันการผลิตและการใช้ประโยชน์จากพลังงานไฮโดรเจนซึ่งเป็นหนึ่งใน Climate Technology เพื่อเป็นแรงสำคัญในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
และการร่วมมือศึกษาธุรกิจและพัฒนาการผลิตไฮโดรเจนจากโซลาร์ฟาร์มลอยน้ำนี้ จะเป็นการผลิตกรีนไฮโดรเจนจากโซลาร์ฟาร์มลอยน้ำแห่งแรกในประเทศไทย อีกทั้งยังจะสามารถเพิ่มการใช้พลังงานหมุนเวียน ตามข้อตกลงระดับนานาชาติจากการประชุม COP28 ที่ผ่านมา มีการที่มีการเรียกร้องให้เพิ่มการใช้พลังงานหมุนเวียนทั่วโลกเป็น 3 เท่าและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานเป็น 2 เท่าภายในปี พ.ศ. 2573