ผู้ชมทั้งหมด 602
GGC ตั้งเป้าปี 2569 EBITDA แตะ 3,000 ล้านบาท ลุยเร่งเครื่องธุรกิจใหม่ Food Ingredients & Pharmaceutical พร้อมเปิดตัวผลิตภัณฑ์เสริมอาหารภายใต้แบรนด์ “Nutralist” ปีนี้ หวังหนุน EBITDA 300 ล้านบาท ใน 3 ปี
นายกฤษฎา ประเสริฐสุโข กรรมการผู้จัดการ บริษัท โกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GGC เปิดเผยว่า บริษัท ตั้งเป้าหมายในปี 2569 การเติบโตของธุรกิจกลุ่ม Food Ingredients & Pharmaceutical จะมีสัดส่วนอยูที่ 10% ของ EBITDA หรือคิดเป็นมูลค่า 300 ล้านบาท จาก EBITDA รวมของบริษัท จะอยู่ที่ระดับ 3,000 ล้านบาท ซึ่งจะขับเคลื่อนธุรกิจภายใต้แผนกลยุทธ์ 4 A strategy
Awareness : สร้าง Brand Awareness สร้างการรับรู้และจดจำ Brand Nutralist ในกลุ่มเป้าหมายโดยวางแผนความร่วมมือกับ Partner ด้านการแพทย์และสุขภาพ เพื่อช่วยสร้าง Brand Awareness ให้กับผลิตภัณฑ์ พร้อมขยายสู่ช่องทาง Social Media เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างรวดเร็ว
Affordability : Nutralist เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีคุณภาพ โดย Ingredient นำมาใช้มาจาก World Class Food Ingredient Producers ซึ่ง GGC มุ่งหวังให้กลุ่มลูกค้าเป้าหมายสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีคุณภาพได้ทุกเจนเนอเรชั่น
Accessibility : วางเกมรุกให้ในหลากหลายช่องทางให้ครบทุกมิติ ทั้ง Online และ Offline เพื่อเข้าถึงลูกค้าได้หลากหลายกลุ่ม
Acceptability : ให้ความสำคัญกับความต้องการของลูกค้าควบคู่ไปกับความใส่ใจด้านสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ GGC มีแผนพัฒนาใหม่ๆ ด้วยกระบวนการผลิตที่ทันสมัยและใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อเพิ่มผลิตภัณฑ์ให้มีความหลากหลายมากขึ้น ตอบโจทย์ความต้องการของทุกเจนเนอเรชั่นที่ใส่ใจรักสุขภาพ ภายใต้สโลแกน “Extract Your New Life”
จากแผนขยายพอร์ตในการสร้างการเติบโตผ่านการลงทุนต่อยอดธุรกิจเดิมของบริษัทฯ รวมถึงการลงทุนในธุรกิจใหม่ที่มีศักยภาพ โดยบริษัทฯ มีเป้าหมายในการปรับ Portfolio เพื่อให้ตอบโจทย์ Mega Trend ที่จะสร้างการเติบโตจากธุรกิจใหม่มากกว่า 50% (New Business)
ทั้งนี้ การเติบโตของทบริษัทจะมาจากการขยายพอร์ตการลงทุนใน 3 กลุ่มธุรกิจ ประกอบด้วย
ธุรกิจเชื้อเพลิงชีวภาพ (BioEnergy Business) เป็นความร่วมมือกันระหว่าง PTT GC และ GGC ซึ่งอยู่ระหว่างศึกษาโครงการและความเป็นไปได้ของโครงการ ในด้านต่าง ๆ เช่น ด้านตลาด เทคโนโลยี การผลักดันด้านนโยบาย และการสร้างความร่วมมือกับสายการบิน โดยมี 3 โครงการ ดังนี้
- โครงการน้ำมันเชื้อเพลิงชีวภาพ : ปัจจุบันได้ศึกษาความเป็นไปได้และดำเนินการปรับปรุงโรงงานเพื่อนำน้ำมันพืชที่ใช้แล้ว ผลิตเป็นน้ำมันอากาศยานชีวภาพ โดยคาดว่าจะดำเนินการระยะที่ 1 แล้วเสร็จ และดำเนินการเชิงพาณิชย์ภายในปี 2025 (พ.ศ.2568)
- โครงการ ATJ : เป็นการศึกษาแผนการลงทุนในการต่อยอดผลิตภัณฑ์เอทานอลเพื่อผลิตเป็นน้ำมันอากาศยานชีวภาพ โดยมีแผนที่จะดำเนินการภายในปี 2030 (พ.ศ.2573)
- โครงการ Green Methanol : เป็นการศึกษาเพื่อต่อยอด และขยายปลายทางธุรกิจไปสู่ตลาด Marine Biofuel และเพื่อตอบสนองต่อแผนกลยุทธ์ Decarbonization
ธุรกิจเคมีชีวภาพ (Bio Chemical Business)
- ธุรกิจ FA, Oleochemical Specialty & Derivative อยู่ระหว่างการขยายธุรกิจ เพื่อให้ได้ผลผลิต Oleochemicals ที่มีมูลค่าเพิ่ม เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นของผลิตภัณฑ์สีเขียว ผ่านพันธมิตร
ธุรกิจ Food Ingredients & Pharmaceutical
- มุ่งเน้นธุรกิจกลุ่ม Food Ingredients & Pharmaceutical
- มุ่งเน้นเป็น Brand Owner โดยดำเนินธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนา ผลิต และจัดจำหน่าย ผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม Food Ingredients & Pharmaceutical
ล่าสุด บริษัทฯ ได้ขยายธุรกิจสู่ตลาดในกลุ่ม Food Ingredients & Pharmaceutical ในฐานะผู้ผลิตผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่เป็น Green Product เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่ต้องการมีสุขภาพดีภายใต้แบรนด์ “Nutralist” ผ่านการเปิดตัวผลิตภัณฑ์อาหารเสริม 2 ตัว คือ Astaxanthin และ Probiotic ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งก้าวที่สำคัญของ GGC ที่ต่อยอดธุรกิจเดิมสู่การขยายพอร์ตการลงทุนในธุรกิจเสริมอาหารเพื่อสุขภาพ เนื่องจากบริษัทฯ เล็งเห็นว่า กลุ่มผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมีความต้องการสูงและตอบสนองต่อ Lifestyle ของผู้บริโภคที่รักสุขภาพในปัจจุบัน
“แนวโน้มผลการดำเนินงานในปีนี้ คาดว่า EBITDA จะเติบโตใกล้เคียงปีก่อนระดับราว 800 ล้านบาท หากสถานการณ์ทางธุรกิจไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม แต่ก็ต้องติดตามเรื่องของสต็อกและราคาผลิตภัณฑ์ด้วย โดยในส่วนของธุรกิจเมทิลเอสเทอร์ คาดว่าจะยังเกิดปัญหาซัพพลายมากกว่าดีมานด์ราว 50-60% ทำให่ตลาดแข่งขันสูง บริษัทจึงเร่งทำสัญญาซื้อขายระยะยาวให้มากขึค้น เพื่อวางแผนการผลิตให้สมดุล ส่วนธุรกิจแฟตตี้แอลกอฮอล์ คาดว่าจะยอดขายเติบโตดี และซีพพลายในบางช่วงอาจขาดตลาด ดังนั้น บริษัท จะเร่งเครื่องธุรกิจใหม่เพื่อสร้างการเติบโตในระยะยาว”
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ได้มีการกำหนดเป้าหมายด้านความยั่งยืน เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในปี 2050 โดยกำหนดเป้าหมายเพื่อวัดประสิทธิผลในระยะสั้นในปี 2030 เพื่อที่จะลด CO2 ให้ได้ 20%