ผู้ชมทั้งหมด 1,830
“ไทยออยล์” คาดราคาน้ำมันดิบสัปดาห์นี้มีแนวโน้มผันผวนในระดับสูงจากความกังวลต่อสถานการณ์ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสจะเคลื่อนไหวที่กรอบ 72-82 เหรียญ สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันดิบเบรนท์เคลื่อนไหวที่กรอบ 78-88 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล
ฝ่ายวิเคราะห์ราคาน้ำมันบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) ประเมินแนวโน้มสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกในสัปดาห์นี้ (12-16 ก.พ. 67) ว่า สถานการณ์ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ในภูมิภาคตะวันออกกลางมีแนวโน้มตึงเครียดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ภายหลังกองทัพสหรัฐฯ ยังคงเดินหน้าโจมตีฐานทัพต่าง ๆ ของกองกำลังติดอาวุธ ซึ่งสนับสนุนโดยอิหร่านที่ตั้งอยู่ในอิรักและซีเรีย โดยข้อมูลจากกองทัพสหรัฐฯ บ่งชี้ว่ากองทัพสหรัฐฯ สามารถที่จะสังหารหัวหน้ากองกำลังติดอาวุธ ซึ่งมีส่วนรับผิดชอบต่อการโจมตีฐานทัพของสหรัฐฯ ในจอร์แดน ขณะที่กองกำลังติดอาวุธที่หนุนโดยอิหร่านได้ใช้อากาศยานไร้คนขับ (Drone) โจมตีฐานทัพสหรัฐฯ แห่งหนึ่งในซีเรีย ส่งผลให้ทหารชาวเคิร์ดที่เป็นพันธมิตรของสหรัฐฯ เสียชีวิต 6 ราย ทั้งนี้ผลกระทบต่ออุปทานน้ำมันดิบในภูมิภาคตะวันออกกลางยังคงจำกัด หากสหรัฐฯ และอิหร่านยังไม่มีการเผชิญหน้ากันโดยตรง
นอกจากนี้ตลาดยังคงจับตาการเจรจาข้อตกลงหยุดยิงชั่วคราวระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาสครั้งใหม่ว่าจะเกิดขึ้นหรือไม่ หลังล่าสุดนายกรัฐมนตรีอิสราเอลปฎิเสธข้อเสนอหยุดยิงของกลุ่มฮามาส ซึ่งยื่นข้อเสนอหยุดยิงเป็นเวลา 4 เดือนครึ่ง โดยแบ่งออกเป็น 3 เฟส เฟสละ 45 วัน โดยหากข้อตกลงดังกล่าวเกิดขึ้นจะส่งผลให้ความตึงเครียดในภูมิภาคตะวันออกลางลดลงโดยเฉพาะบริเวณทะเลแดงแต่กลุ่มกบฎฮูตียังคงยืนยันที่จะปฎิบัติการโจมตีเรือเดินสมุทรในบริเวณจนกว่าอิสราเอลจะยุติการรุกรานฉนวนกาซา
ขณะที่สถานการณ์ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างรัสเซียและยูเครนมีความตึงเครียดมากขึ้น ภายหลังยูเครนยังคงเดินหน้าโจมตีสาธารณูปโภคพื้นฐานด้านพลังงานของรัสเซียอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดอากาศยานไร้คนขับ (Drone) ได้โจมตีโรงกลั่นน้ำมันดิบ Volgograd ซึ่งมีกำลังการผลิตที่ระดับ 0.3 ล้านบาร์เรลต่อวัน โดยโรงกลั่นดังกล่าวถือเป็นหนึ่งในโรงกลั่นที่ผลิตน้ำมันสำเร็จรูปให้กับกองทัพรัสเซียเพื่อทำสงครามกับยูเครน นอกจากนี้ยังต้องจับการซ้อมรบขององค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือหรือนาโต้ (NATO) ภายใต้ชื่อปฎิบัติการ “Steadfast Defender 24” ซึ่งมีขึ้นระหว่างวันที่ 22 ม.ค. – 31 พ.ค. 2567 โดยการซ้อมรบนี้ถือเป็นการซ้อมรบครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่การสิ้นสุดลงของสงครามเย็น
อีกประเด็นที่ต้องติดตามคือธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ลดอัตราดอกเบี้ย โดยคำสัมภาษณ์ นายเจอโรม พาวเวล ประธานFED ในรายการ “60 Minutes” ทางสถานีโทรทัศน์ CBS บ่งชี้ว่าการที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่งนั้น ส่งผลให้ FED จะเริ่มลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเมื่ออัตราเงินเฟ้อปรับลดลงมาอยู่ที่ระดับเป้าหมาย 2% อย่างชัดเจน โดยตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ซึ่งประกาศออกมาในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา แสดงถึงความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ ข้อมูลการจ้างงานนอกภาคการเกษตรของสหรัฐฯ ปรับเพิ่มขึ้น 353,000 ตำแหน่งในเดือน ม.ค. 67 ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 180,000 ตำแหน่ง
ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการบริการ ในเดือน ม.ค. 67 อยู่ที่ระดับ 53.4 สูงกว่าเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 50.5 รายงานฉบับล่าสุดขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) คงคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจจีนในปี 2567 ที่ระดับ 4.7% แต่ชะลอตัวลงจากปีก่อนหน้าที่ระดับ 5.2% หลัง OECD คาดเศรษฐกิจจีนยังคงได้รับแรงกดดันจากปัญหาใน
นอกจากนี้ภาคอสังหาริมทรัพย์ยังเป็นอีกภาคธุรกิจที่ส่งผลให้การเติบโตทางเศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอตัวและย่อมส่งผลกดดันต่อการเติบโตของความต้องการใช้น้ำมัน ขณะที่เศรษฐกิจที่น่าติดตามในสัปดาห์นี้ได้แก่ ตัวเลขทางเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯ เดือน ม.ค. 67 ได้แก่ ดัชนีราคาผู้บริโภคของสหรัฐฯ และดัชนียอดค้าปลีก และตัวเลขทางเศรษฐกิจที่สำคัญของสหภาพยุโรป ได้แก่ ดัชนีการผลิตภาคอุตสาหกรรม เดือน ธ.ค. 66 และจีดีพีไตรมาสที่ 4/66