กฟผ. ผนึก อ.อ.ป. ศึกษาพื้นที่ปลูกพืชพลังงานชีวมวลป้อนโรงไฟฟ้าแม่เมาะ

ผู้ชมทั้งหมด 2,873 

กฟผ. จับมือ อ.อ.ป. ศึกษาพื้นที่ศักยภาพปลูกพืชพลังงานป้อนเป็นเชื้อเพลิงชีวมวลให้กับโรงไฟฟ้าแม่เมาะ จ.ลำปาง หวังเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าพลังงานสะอาด เพิ่มปริมาณการดูดซับกักเก็บคาร์บอน

ดร.จิราพร ศิริคำ รองผู้ว่าการธุรกิจเกี่ยวเนื่อง รักษาการผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และนายสุกิจ จันทร์ทอง ผู้อำนวยการองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (อ.อ.ป.) ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) เพื่อศึกษาพื้นที่ที่มีศักยภาพในการผลิตเชื้อเพลิงชีวมวลสำหรับโรงไฟฟ้าของ กฟผ. ณ อาคาร 50 ปี กฟผ. สำนักงานใหญ่ จ.นนทบุรี เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2567

ดร.จิราพร ศิริคำ รักษาการผู้ว่าการ กฟผ. กล่าวว่า การผลิตและจัดหาเชื้อเพลิงชีวมวลมาผสมร่วมกับถ่านหินให้กับโรงไฟฟ้าแม่เมาะ จ.ลำปาง จำเป็นต้องใช้พื้นที่ในการปลูกไม้โตเร็ว กฟผ. จึงร่วมกับ อ.อ.ป. ศึกษาและประเมินพื้นที่ที่มีศักยภาพสำหรับปลูกพืชพลังงานชีวมวล เพื่อให้ได้รับการรับรองตามมาตรฐานสากล สำหรับผลิตเชื้อเพลิงชีวมวลให้กับโรงไฟฟ้าของ กฟผ  ซึ่งผลการศึกษาจะสามารถนำไปใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาองค์ความรู้และเทคโนโลยี อีกทั้งยังถือเป็นก้าวสำคัญในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เป็นผลดีต่อสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชน ในการพัฒนาอาชีพ คุณภาพชีวิต รวมทั้งรายได้ที่เกิดจากการผลิตเชื้อเพลิงชีวมวลให้กับโรงไฟฟ้าของ กฟผ.

สำหรับพลังงานชีวมวลนับเป็นอีกพลังงานทางเลือกที่ กฟผ. ดำเนินการศึกษา เพื่อก้าวสู่ยุคเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน ภายใต้กลยุทธ์ ‘Triple S’ คือ Sources Transformation เพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน Sink Co-creation เพิ่มศักยภาพการกักเก็บก๊าซเรือนกระจกจากภาคป่าไม้ และ Support Measures Mechanism ส่งเสริมการมีส่วนร่วมลดก๊าซเรือนกระจกในภาคประชาชน เพื่อขับเคลื่อนและแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสู่สังคมคาร์บอนต่ำ

นายสุกิจ จันทร์ทอง ผู้อำนวยการองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ กล่าวว่า อ.อ.ป. มีภารกิจเกี่ยวกับการดำเนินงานด้านอุตสาหกรรมป่าไม้ รวมทั้งการดำเนินกิจการที่เกี่ยวข้องกับคาร์บอนเครดิต เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานขับเคลื่อนการดูดซับก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทย และการใช้ศักยภาพของสวนป่าเป็นแหล่งกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ สอดคล้องกับเป้าหมายของประเทศในการเดินหน้าสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี ค.ศ. 2050 และเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emission) ภายในปี ค.ศ. 2065 จากความร่วมมือในครั้งนี้ จะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับไม้ที่ปลูก โดยนำมาพัฒนาเป็นเชื้อเพลิงชีวมวล สำหรับผลิตไฟฟ้า ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อชุมชน และประเทศชาติต่อไป