สนพ.แจงสาเหตุราคาน้ำมันของไทยต่างกับเพื่อนบ้าน

ผู้ชมทั้งหมด 1,521 

สนพ.ชี้แจงปัจจัยที่ทำให้ราคาน้ำมันของประเทศไทยแตกต่างกับประเทศเพื่อนบ้าน ขณะที่ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกยังคงผันผวนจากการระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ในหลายประเทศ กระทบต่อความต้องการใช้น้ำมันของตลาด

นายวัฒนพงษ์ คุโรวาท ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เปิดเผยว่า ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ราคาน้ำมันของประเทศไทยแตกต่างกับประเทศเพื่อนบ้านหากพิจารณาจากโครงสร้างราคาน้ำมันอ้างอิงนั้นจะประกอบด้วย

1) ต้นทุนเนื้อน้ำมัน (ร้อยละ 40 – 60) คือ ต้นทุนน้ำมันสำเร็จรูปที่ผลิตจากโรงกลั่น ซึ่งอ้างอิงราคาตามตลาดกลางภูมิภาคเอเซีย

2) ภาษีต่างๆ (ร้อยละ 30 – 40) ได้แก่ ภาษีสรรพสามิต ภาษีเทศบาล และภาษีมูลค่าเพิ่ม เพื่อนำมาใช้เป็นงบประมาณในการพัฒนาประเทศ และบำรุงท้องถิ่น

3) กองทุนต่างๆ (ร้อยละ 5 – 20) เช่น กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อรักษาเสถียรภาพราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศไม่ให้เกิดความผันผวน กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน เพื่อส่งเสริมสนับสนุนพลังงานทางเลือก พลังงานทดแทน เพื่อประสิทธิภาพและลดการใช้พลังงาน

4) ค่าการตลาด (ร้อยละ 10 – 18) คือ ส่วนที่เป็นต้นทุน ค่าใช้จ่าย และกำไรของธุรกิจค้าปลีกน้ำมันทั้งระบบ ตั้งแต่การจัดการคลังน้ำมัน การขนส่งน้ำมันมายังสถานีบริการ รวมถึงการให้บริการของสถานีบริการที่เติมน้ำมันแต่ละลิตรให้กับประชาชน

ขณะที่สถานการณ์ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกนั้นยังคงผันผวนจากความกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด- 19 ระลอกใหม่ในหลายประเทศ โดยเฉพาะอินเดีย ที่มียอดผู้ติดเชื้อสะสมสูงสุดเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากสหรัฐฯ ซึ่งอาจจะส่งผลต่อความต้องการใช้น้ำมันของตลาด

อย่างไรก็ตามองค์กรพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) ยังคงคาดการณ์ว่าแนวโน้มอุปสงค์น้ำมันดิบในตลาดโลกจะปรับเพิ่มเป็น 96.7 ล้านบาร์เรล/วัน ในปี 2564 นี้ สอดคล้องกับกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ที่คาดการณ์ว่าอุปสงค์น้ำมันในตลาดโลกปีนี้จะเพิ่มขึ้นราว 6 ล้านบาร์เรล/วัน รวมถึงคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกจะขยายตัวจาก 5.1% เป็น 5.4% ในปีนี้ด้วย ขณะเดียวกันผู้ค้าน้ำมันในตลาดทั่วโลกยังได้จับตาการเจรจาระหว่างสหรัฐฯ และอิหร่าน เกี่ยวกับการทำข้อตกลงนิวเคลียร์ฉบับใหม่ และประเมินผลกระทบในตลาดน้ำมันจากการที่สหรัฐฯ ดำเนินการคว่ำบาตรรัสเซีย

ส่วนสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกในช่วงวันที่ 12 – 18 เมษายน 2564) นั้นราคาน้ำมันดิบดูไบและเวสต์เท็กซัส เฉลี่ยอยู่ที่ $62.88 และ $61.92 ต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ที่แล้ว $1.64 และ $2.59 ต่อบาร์เรล โดยสำนักงานพลังงานสากล (IEA) เพิ่มการคาดการณ์ความต้องการใช้น้ำมันทั่วโลกเป็น 5.7 ล้านบาร์เรล/วัน จากคาดการณ์ก่อนหน้าไว้ที่ 5.5 ล้านบาร์เรล/วัน ใกล้เคียงกับกลุ่มโอเปกที่คาดว่าอุปสงค์น้ำมันดิบทั่วโลกจะสามารถเพิ่มขึ้น 6 ล้านบาร์เรล/วัน