ผู้ชมทั้งหมด 6,124
“สุริยะ” พอใจผลงาน 99 วัน 9 เรื่องเด่น ชูชิ้นโบว์แดงนโยบายรถไฟฟ้าสายสีแดง-ม่วงสูงสุดไม่เกิน 20 บาทตลอดสาย พร้อมเดินหน้าตั้งกองทุนตั๋วร่วมชดเชยรายได้รถไฟฟ้าเอกชน มั่นใจสำเร็จใน 2 ปี ระบุต้นปี 67 ไม่มีโครงการประมูลเหตุงบฯ ดีเลย์
เมื่อวันที่ 20 ธ.ค.ที่ห้องราชดำเนิน อาคารราชรถสโมสร กระทรวงคมนาคม นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.คมนาคม กล่าวแถลงผลงาน 99 วัน 9 เรื่องเด่น โครงการสำคัญเร่งด่วน พร้อมขับเคลื่อนโครงการสำคัญของกระทรวงคมนาคม ตามนโยบาย Quick win โดยมีนางมนพร เจริญศรี และนายสุรพงษ์ ปิยะโชติ รมช.คมนาคม พร้อมด้วยคณะผู้บริหารหน่วยงานนสังกัดกระทรวงคมนาคม เข้าร่วม
โดย นายสุริยะ กล่าวว่า รู้สึกพอใจกับผลงานในระยะเวลา 99 วันที่ผ่านมา นับตั้งแต่รัฐบาลได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา ซึ่งกระทรวงคมนาคมได้ดำเนินโครงการ และนโยบายต่าง ๆ ทั้งการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางบก ทางน้ำ ทางราง และทางอากาศ รวมถึงการให้บริการระบบคมนาคมขนส่งในทุกมิติเกิดผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรม จำนวน 9 โครงการเด่น ดังนี้
1.มาตรการกำหนดอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าสูงสุดไม่เกิน 20 บาท หรือนโยบายค่ารถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ที่เริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 16 ต.ค.66 ที่ผ่านมา ใน 2 โครงการ คือ โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน – คลองบางไผ่ และโครงการรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง ช่วงบางซื่อ – รังสิต และช่วงบางซื่อ – ตลิ่งชัน ซึ่ง ถือเป็นนโยบายแรกของรัฐบาล
ส่วนการประกาศใช้มาตรการดังกล่าวในโครงการรถไฟฟ้าในเส้นทางอื่น ๆ นั้น อยู่ระหว่างการหารือและพิจารณาร่วมกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ขอให้มั่นใจว่าจะสำเร็จภายใน 2 ปี โดยเบื้องต้นจะมีการกำหนดในร่างพ.ร.บ.ตั๋วร่วม พ.ศ….. ให้มีการจัดตั้งกองทุนขึ้นมาเพื่อชดเชยรายได้ให้กับเอกชนผู้ได้รับสัมปทาน ปีละประมาณ 7-8 พันล้านบาท โดยรายได้ที่จะนำมาสนับสนุนเข้ากองทุนจะมาจาก 2 ส่วนคือ 1.การปรับเพิ่มอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันเบนซินจากหัวจ่ายในสถานีจำหน่ายน้ำมันในเขตพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑล เช่น ปรับอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันเพิ่ม 50 สตางค์ ต่อลิตร เป็นต้น และ 2. การนำงบประมาณของรัฐมาสมทบเข้ากองทุนฯ สำหรับตัวเลขการนำรายได้สมทบเข้ากองทุนจะเป็นสัดส่วนเท่าไหร่ต้องพิจารณาความเหมาะสมอีกครั้ง ทั้งนี้เมื่อค่าโดยสารรถไฟฟ้าถูกลงก็เป็นการจูงใจให้ประชาชนหันมาใช้ระบบขนส่งสาธารณะเพิ่มมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ร่างพ.ร.บ.ตั๋วร่วม ฯ จะเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรในสมัยการประชุมหน้า หรือประมาณต้นปี 67
2. การเปิดใช้ท่าอากาศยานเชียงใหม่ 24 ชั่วโมง เพื่อรองรับปริมาณเที่ยวบินในปัจจุบัน และกระตุ้นเศรษฐกิจภาคการท่องเที่ยว รวมถึงรองรับเที่ยวบินและผู้โดยสารที่เดินทางมายังจังหวัดเชียงใหม่ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
3. เปิดอาคารเทียบเครื่องบินรอง หลังที่ 1 (SAT-1) พร้อมทั้งระบบขนส่งผู้โดยสารอัตโนมัติเชื่อมต่อระหว่างอาคาร SAT-1 กับอาคารผู้โดยสารหลัก ซึ่งได้เปิดให้บริการแล้วเมื่อเดือนกันยายน 2566 โดยทำให้ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิสามารถรองรับผู้โดยสารได้เพิ่มขึ้นจาก 45 ล้านคนต่อปี เป็น 60 ล้านคนต่อปี เพื่อรองรับการเติบโตของภาคการท่องเที่ยวของประเทศตามนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล
4. เร่งรัดการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) โดยเตรียมเปิดให้ประชาชนใช้บริการฟรี 2 เส้นทางในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2567 คือ มอเตอร์เวย์ สายบางปะอิน – นครราชสีมา (M6) ช่วงปากช่อง – ทางเลี่ยงเมืองนครราชสีมา ระยะทาง 77 กม. และมอเตอร์เวย์ สายบางใหญ่ – กาญจนบุรี (M81) ช่วงนครปฐม ฝั่งตะวันตก – กาญจนบุรี ระยะทาง 51 กม. และเปิดให้บริการใช้งานฟรีต่อเนื่องจนกว่าด่านเก็บค่าผ่านทางจะแล้วเสร็จ เพื่อให้ประชาชนได้รับความสะดวกรวดเร็วในการเดินทาง
ขณะเดียวกัน ยังได้เร่งรัดโครงการรถไฟทางคู่สายใต้ เส้นทางนครปฐม – ชุมพร และได้เปิดให้บริการช่วงสถานีบ้านคูบัว จ.ราชบุรี ถึงสถานีสะพลี จ.ชุมพร เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2566 ที่ผ่านมา ส่งผลให้ประชาชนถึงจุดหมายได้เร็วขึ้นถึง 1 ชั่วโมง 30 นาที เพื่อให้เกิดความสะดวกในการเดินทางของประชาชน รวมทั้งการขนส่งสินค้า โดยไม่ต้องเสียเวลาในการรอหลีกขบวนรถอีกต่อไป
5. การพัฒนาท่าเรืออัจฉริยะ โดยการยกมาตรฐานและปลอดภัยท่าเรือในแม่น้ำเจ้าพระยาให้สามารถเชื่อมโยงกับระบบขนส่งรูปแบบอื่นโดยการให้บริการด้วยระบบตั๋วร่วม พร้อมทั้งออกแบบรองรับผู้ใช้บริการทุกประเภท โดยมีแผนพัฒนาท่าเรือเป็นสถานีเรือ (ระบบปิด) ทั้งหมด 29 ท่า ซึ่งขณะนี้ปรับปรุงเสร็จแล้ว จำนวน 9 ท่า อยู่ระหว่างดำเนินการปรับปรุงและก่อสร้าง จำนวน 5 ท่า และในส่วนที่เหลืออีกจำนวน 15 ท่า จะมีการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง
6. เดินหน้าโครงการสะพานเศรษฐกิจเชื่อมทะเลอ่าวไทย – อันดามัน (Landbridge) โดยกระทรวงคมนาคมได้เร่งรัดดำเนินโครงการให้เกิดเป็นรูปธรรมโดยเร็ว โดยกระทรวงคมนาคมได้เริ่ม ดำเนินการรับฟังความคิดเห็นจากนักลงทุนต่างประเทศ (Road Show) ล่าสุดได้ร่วม ประชาสัมพันธ์โครงการ Landbridge ในการประชุมเอเปค ครั้งที่ 30 ประเทศสหรัฐอเมริกา และการประชุมสุดยอดอาเซียนญี่ปุ่น สมัยพิเศษ เพื่อฉลองวาระครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์อาเซียน – ญี่ปุ่น ซึ่งได้รับความสนใจจากนักลงทุนญี่ปุ่นจำนวนมาก
นอกจากนี้ทางกระทรวงคมนาคมยังมีแผนที่จะ Road Show ยังประเทศจีน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ สหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย สวีเดน สวิสเซอร์แลนด์ ประเทศในแถบตะวันออกกลาง และประเทศในกลุ่มยุโรปในเร็วๆนี้ ก่อนเปิดประมูลในปี 2568
7. การปรับเปลี่ยนรถยนต์ใช้น้ำมัน (สันดาป) เป็นรถยนต์ไฟฟ้า (EV) เพื่อขับเคลื่อนการปรับปรุงรถสาธารณะทุกชนิดให้เป็น EV โดยกระทรวงคมนาคมได้มอบหมายให้หน่วยงานในสังกัด ทั้งส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจพิจารณาเปลี่ยนรถยนต์สันดาปที่หมดอายุสัญญาเช่าให้เป็นรถยนต์ EV ซึ่งจะนำร่องกับบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. ที่จะทยอยปรับเปลี่ยนรถที่ให้บริการในท่าอากาศยานทั้งหมด ให้เป็นรถยนต์ EV รวมถึงรถส่วนกลางที่จะหมดสัญญาเช่า จะเริ่มสัญญาเช่ารถใหม่ให้เป็นรถยนต์ EV ด้วย เพื่อช่วยลดปัญหามลพิษทางอากาศ หรือฝุ่นละออง PM 2.5 สอดรับนโยบายอากาศสะอาดเพื่อประชาชน
8. โครงการพัฒนาระบบโครงข่ายคมนาคมจังหวัดภูเก็ต ได้แก่ การพัฒนาทาาอากาศยานภูเก็ต (ระยะที่ 2) คาดว่าจะเปิดให้บริการในปี 2572, โครงการก่อสร้างขยายช่องจราจร ทล.4027 ช่วง บ.พารา – บ. เมืองใหม่, โครงการทางพิเศษ สายกระทู้ – ป่าตอง, การพัฒนาท่าอากาศยานภูเก็ตแห่งที่ 2 จ.พังงา โดยขณะนี้ ทอท. อยู่ระหว่างทบทวนข้อกำหนดรายละเอียดในการจ้างที่ปรึกษาศึกษาความเป็นไปได้ และความคุ้มค่าในการลงทุนโครงการในเบื้องต้น
นอกจากนี้ ยังมีโครงการระบบขนส่งมวลชนจังหวัดภูเก็ต ระยะที่ 1 (ช่วงท่าอากาศยานฯ – ห้าแยกฉลอง) ซึ่งการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนกรุงเทพ (รฟม.) อยู่ระหว่างศึกษาทบทวนรายละเอียดความเหมาะสมของโครงการฯ เพื่อให้โครงการฯ เกิดความคุ้มค่าในการลงทุนตามข้อสั่งการของกระทรวงคมนาคม คาดว่าจะเปิดให้บริการในเดือนธันวาคม 2574 อย่างไรก็ตาม โครงการในจังหวัดภูเก็ตที่กล่าวมานั้น จะสามารถลดปัญหาการจราจร และเพื่อเสริมศักยภาพให้เมืองท่องเที่ยวระดับโลก
9. การปราบส่วยทางหลวง แก้ปัญหาการทุจริต โดยทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เร่งแก้ไขปัญหาอย่างเคร่งครัดรวมถึงแก้ไขข้อกฎหมายให้มีบทลงโทษมากขึ้น รวมถึงมีศูนย์รับเรื่องร้องเรียนร้องทุกข์ตลอด 24 ชั่วโมง โดยในช่วงที่ผ่านมานั้น ทุกหน่วยงานสามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมสามารถจับกุมผู้กระทำผิดได้อย่างรวดเร็ว
นายสุริยะ กล่าวว่า ขณะนี้กระทรวงคมนาคมมีโครงการสำคัญเร่งด่วนที่กำลังดำเนินการก่อสร้างและอยู่ระหว่างการจัดเอกสารประกวดราคา(ทีโออาร์) จำนวน 72 โครงการ ซึ่งมีการตั้งณะทำงานประเมินและติดตามการทำงานไม่ให้ล่าช้า ส่วนโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่กระทรวงคมนาคมจะนำเสนอคณะรัฐมนตรี(ครม.) ภายในปี 66 นี้ไม่มีแล้วต้องรอไปต้นปี 67
สำหรับโครงการลงทุนในปี 67 ยังไม่มีโครงการที่ใช้งบประมาณของรัฐที่สามารถเปิดประมูลได้ในช่วงต้นปี เนื่องจากงบประมาณปี 67 ล่าช้า ซึ่งร่างพ.ร.บ.งบประมาณ พส.2567 น่าจะผ่านการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรและสามารถใช้ได้ประมาณเดือนพ.ค.เป็นต้นไป แต่ได้สั่งการให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคมเตรียมความพร้อมบริหารจัดการจัดซื้อจัดจ้างไว้แล้ว หากสามารถเบิกจ่ายงบฯได้ก็จะดำเนินการเปิดประมูลได้ทันที
อย่างไรก็ตามโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อมเปิดประมูลได้ต้นปี 67 เป็นโครงการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (พีพีพี) และเงินจากกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (TFF) คือ โครงการทางพิเศษ (ด่วน) ฉลองรัช ส่วนต่อขยาย ช่วงจตุโชติ-ถนนลำลูกกา ระยะทาง 16.2 กิโลเมตร (กม.) มูลค่าการลงทุนประมาณ 2.4 หมื่นล้านบาท ของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.)