PTTEP เร่งปรับแผนลงทุน5ปี(ปี 2567-2571) คาดเสร็จ ธ.ค.นี้

ผู้ชมทั้งหมด 796 

ปตท.สผ. เร่งทบทวนแผนการลงทุน 5ปีใหม่(ปี 2567-2571) คาดเสร็จ ธ.ค.นี้ มั่นใจปริมาณการขายปิโตรเลียมปีหน้า แตะ 510,000 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน ราคาก๊าซฯ เฉลี่ยทั้งปีหน้า อยู่ที่ 5.6-5.9 ดอลลาร์ต่อล้านบีทียู จ่อใช้เงินลงทุนราว 4,000 ล้านดอลลาร์ ลุยเพิ่มกำลังผลิตพร้อมพัฒนาแหล่งก๊าซฯ แย้มหวังรัฐ ดันโครงการ OCA เสริมมั่นคงพลังงาน 2 ประเทศ ขณะที่ โครงการG1/61(เอราวัณ) กำลังผลิตเข้าเป้า 800 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน เม.ย.2567

นายสัมฤทธิ์ สำเนียง รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) เปิดเผย ในงานOppday Q3/2023 PTTEP วันที่ 2 พ.ย.2566 โดยระบุว่า แนวโน้มผลประกอบการดำเนินงานของบริษัทในปี2567 คาดว่า ปริมาณการขายปิโตรเลียมจะเติบโตขึ้นจากปี2566 หรืออยู่ที่ 510,000 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน คาดที่ประเมิงไว้ในแผนลงทุน 5 ปีฉบับปัจจุบัน ซึ่งจะเพิ่มขึ้นจากปี 2566 ที่คาดการณ์จะอยู่ที่ 463,000 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน โดยหลักมาจากการเพิ่มกำลังการผลิตก๊าซฯจากแหล่งเอราวัณ(G1/61) จากปัจจุบันอยู่ที่ 400 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน เป็น 800 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ตามเงื่อนไขสัญญาแบ่งปันผลผลิต(PSC) ในวันที่ 1 เม.ย. 2567

รวมถึง การเร่งเพิ่มกำลังการผลิตก๊าซฯจากแหล่งอื่นๆมาทดแทน เช่น แหล่งบงกช(G2/61) ที่สามารถเพิ่มกำลังการผลิตสูงสุดอยู่ที่ 860 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน สูงกว่าเงื่อนไขสัญญาPSC กำหนดปริมาณการผลิตขั้นต่ำอยู่ที่ 700 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน โดยบริษัท จะรักษาอัตราการผลิตก๊าซฯทั้ง 2 แหล่งดังกล่าวตามเงื่อนไขPSC ต่อเนื่องไปอีก 10 ปี

อีกทั้ง บริษัทยังเพิ่มกำลังการผลิตก๊าซฯจากแหล่งอาทิตย์ ที่ปัจจุบันมีกำลังการผลิตอยู่ที่ 340 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน

ส่วนแนวโน้มราคาก๊าซฯ ในปี2567 คาดว่า จะอยู่ที่ 5.6-5.9 ดอลลาร์ต่อล้านบีทียู ลดลงจากปี 2566 ที่คาดการณ์ราคาก๊าซฯเฉลี่ยอยู่ที่ 6 ดอลลาร์ต่อล้านบีทียู โดยคาดว่า ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปี2567 จะเฉลี่ยอยู่ที่ 70-90 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ลดลงจากปี 2566 ที่เฉลี่ย 80-90 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งหากราคาน้ำมันดิบไม่เป็นไปในกรอบที่คาดการณ์ไว้ก็จะกลายเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการลงทุนของบริษัท

ขณะที่แผนการลงทุนของบริษัทในปี 2567 ซึ่งตามแผนการลงทุน 5 ปีฉบับปัจจุบัน (ปี 2566-2570) งบรวมอยู่ที่ 29,100 ล้านดอลลาร์ หรือราว 1,006,676 ล้านบาทนั้น ในปี2567 คาดว่าจะใช้งบลงทุนอยู่ที่ประมาณ 4,000 ล้านดอลลาร์ แบ่งเป็นการลงทุนเพิ่มกำลังการผลิตก๊าซฯราว 3,000 ล้านดอลลาร์ และการพัฒนาโครงการฯ 1,000 ล้านดอลลาร์ เช่น โครงการโมซัมบิก แอเรีย วัน และโครงการ SK 410 B ในมาเลเซีย เป็นต้น

บริษัท อยู่ระหว่างการจัดทำแผนลงทุน 5 ปี(ปี2567-2571) ฉบับใหม่ ซึ่งจะแล้วเสร็จในเดือนธ.ค.นี้ และจะทำให้เห็นความชัดเจนของกำลังการผลิตที่จะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงปี 2570-2571ที่จะส่งผลต่อการเพิ่มขึ้นของปริมาณการขายปิโตรเลียมของบริษัทด้วย อีกทั้งบริษัท ยังคงมองเรื่องของการเข้าซื้อกิจการM&A ในโครงการก๊าซต้นทุนต่ำ เพื่อรักษาการทำกำไรในอนาคต

ส่วนกรณีที่ภาครัฐมีนโยบายดูแลอัตราค่าไฟฟ้าของประเทศนั้น คาดว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อบริษัท และไม่จำเป็นต้องจัดเตรียมค่าใช้จ่ายสำรองไว้ในเรื่องนี้ ขณะเดียวกันเข้าใจว่า ภาครัฐนอกจากจะให้ความสำคัญด้านการดูแลเรื่องต้นทุนพลังงานให้กับประชาชนแล้ว ก็ยังมองเรื่องของการดูแลความมั่นคงทางพลังงานของประเทศด้วย โดยเฉพาะการรักษาอัตราการผลิตก๊าซฯในอ่าวไทย และการเพิ่มซัพพลายก๊าซใหม่ อย่างการผลักดันการหาข้อยุติปัญหาพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทยและกัมพูชา หรือ Overlapping Claims Area – OCA ที่จะช่วยให้เกิดการพัฒนาแหล่งก๊าซฯใหม่ในอนาคต และปตท.สผ.ก็จะมีโอกาสเข้าไปมีส่วนร่วมในการดำเนินการด้วย

นายสัมฤทธิ์ ยังกล่าวถึงความคืบหน้าโครงการลงทุนที่อยู่ในมือของบริษัทว่า ในส่วนของโครงการโมซัมบิก แอเรีย วัน ซึ่งตั้งอยู่นอกชายฝั่งของประเทศโมซัมบิก ปัจจุบัน สถานการณ์ในพื้นที่มีแนวโน้มดีขึ้นตามลำดับ โดยขยับเป้าหมายจะส่งมอบ LNG ลำแรกเป็นช่วงครึ่งปีแรกของปี 2571 จากเดิมภายในปี 2570

โครงการเจาะหลุม ลัง เลอบาห์-2 ในโครงการซาราวักเอสเค 410 บี คาดว่า จะสามารถตัดสินใจลงทุนขั้นสุดท้าย(FID) ได้ช่วงต้นปีหน้า และเริ่มการผลิตครั้งแรกในช่วงครึ่งแรกปี 2571

ขณะที่โครงการแคช-เมเปิลที่ออสเตรเลีย อยู่ระหว่างดำเนินการขาย ซึ่งได้ตกลงราคาเรียบร้อยแล้ว และอยู่ระหว่างส่งเรื่องในรัฐบาลออสเตรเลียพิจารณา คาดว่าจะเสร็จสมบูรณ์ได้ในช่วงสิ้นปีนี้

น.ส.อารดา วิชญวาณิช ผู้จัดการแผนกนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แนวโน้มทิศทางการดำเนินงานในไตรมาส4 ปี2566 ในส่วนของราคาน้ำมันดิบ คาดว่าจะอ่อนตัวลงจากราคาเฉลี่ยไตรมาส 3 อยู่ที่ 87 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เนื่องจากประเทศตะวันตกเข้าสู่ฤดูหนาวทำให้ลดการเดินทางลง ประกอบกับนโยบายการเงินในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ จะส่งผลให้เศรษฐกิจชะลอตัว ส่งผลกระทบต่อความต้องการใช้น้ำมันลดลง

ขณะที่ทิศทางราคาก๊าซธรรมชาติเหลว(LNG) คาดว่าจะสวนทางกับราคาน้ำมันดิบ โดยเฉลี่ยทั้งปี 2566 จะอยู่ที่ 13-14 ดอลลาร์ต่อล้านบีทียู จากราคาเฉลี่ยไตรมาส 3 อยู่ที่ 12.5  ดอลลาร์ต่อล้านบีทียู เนื่องจากประเทศตะวันตกเข้าสู่ฤดูหนาวจึงมีการนำเข้าLNG เพื่อเก็บสำรองมากขึ้น เช่นเดียวกับประเทศไทยที่คาดว่าจะต้องมีการนำเข้าLNG เพิ่มขึ้น

สำหรับความคืบหน้าการดำเนินธุรกิจใหม่ของบริษัท ในส่วนของธุรกิจ Carbon Solutions บริษัทอยู่ระหว่างพิจารณาเข้าลงทุนธุรกิจให้บริการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CCS) สำหรับนิคมอุตสาหกรรมที่อยู่รอบๆอ่าวไทย ที่จะเป็นลักษณะการเข้าไปให้บริการนำคาร์บอนไดออกไซด์ของนิคมฯต่างๆขนย้ายไปกักเก็บในหลุมปิโตรเลียมในอ่าวไทย ซึ่งลูกค้ากลุ่มแรก จะเป็นในเครือปตท.