ผู้ชมทั้งหมด 451
PTTGC ชวนทุกภาคส่วนร่วมลดคาร์บอนในชีวิตประจำวัน เพื่อเปลี่ยนแปลงโลกอย่างยั่งยืน ชี้ธุรกิจปิโตรเคมีผ่านจุดต่ำสุด ขอเวลาฟื้นตัว 1-2 ปี ยอมรับสงครามอิสราเอล–ฮามาสกระทบกำลังซื้อ ย้ำต้องลงทุนอย่างระมัดระวัง
เมื่อวันที่ 27 ต.ค. ที่ รอยัล พารากอน ฮอลล์ ศูนย์การค้าสยามพารากอน กรุงเทพฯ นายคงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ (CEO) บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิดงาน GC Sustainable Living Symposium 2023: We are GEN S ครั้งที่ 4 ” ว่า การจัดงานในปีนี้ทางบริษัทฯ พยายามสร้างแนวร่วมในการนำแนวคิดในเรื่องเศรษฐกิจหมุนเวียนการช่วยโลกลดคาร์บอน และเรื่องความยั่งยืนมาจัดให้เป็นรูปธรรมจับต้องได้ วัดผลได้และเข้าใจได้ง่าย โดยมีวิวัฒนาการที่เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านๆมา เพื่อเป็นแนวทางให้กับทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นองค์กรเล็กหรือองค์กรใหญ่ รวมถึงคนยุคนี้และคนยุคใหม่ต้องมาช่วยกันสู้ให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เพื่อให้โลกดีขึ้น
นายคงกระพัน กล่าวอีกว่า ในส่วนของรัฐบาลก็มีนโยบายสนับสนุนเรื่องความยั่งยืนมาอย่างต่อเนื่อง แต่การการสร้างความเปลี่ยนแปลงเรื่องเกี่ยวกับเศรษฐกิจหมุนเวียน และเรื่องการลดคาร์บอนต้องเริ่มจากตัวเราในชีวิตประจำวันให้ได้มากที่สุด อย่างไรก็ตามในส่วนของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจีนมองว่าน่าจะส่งผลดีต่อกำลังซื้อ เพราะจีนเป็นประเทศที่มีตลาดขนาดใหญ่ ต้องติดตามผลประมาณ 2 สัปดาห์จากนี้ เพราะจีนเองยังต้องแก้ปัญหาอสังหาริมทรัพย์ภายในประเทศอยู่
สำหรับโครงการ GC Upcycling Upstyling จัดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม จากการผสานความร่วมมือระหว่าง GC และพันธมิตรต่างๆ ที่เป็น GC YOU เทิร์น พาร์ตเนอร์ ด้วยกระแสตอบรับที่ดีในตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา โดยในปีนี้ GC ได้ร่วมมือกับแฟชั่นแบรนด์และดีไซเนอร์ไทยชั้นนำ ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการออกแบบและความคิดสร้างสรรค์ นำพลาสติกใช้แล้วมาเพิ่มมูลค่าผ่านการออกแบบรักษ์โลกอย่างยั่งยืน Eco-Design สร้างสรรค์เป็นผลงานต้นแบบ รวม 15 คอลเลกชัน จากพลาสติกใช้แล้ว จากขวดน้ำดื่ม (PET Bottle) จำนวน 992 ขวด สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้กว่า 17.4 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า โดยจะนำไปพัฒนาเป็นสินค้าแฟชั่นและไลฟ์สไตล์ เพื่อต่อยอดธุรกิจ เพิ่มช่องทางการตลาดและการจำหน่ายให้กับธุรกิจ Upcycling ของ GC ด้วย
นายคงกระพัน กล่าวด้วยว่า ขณะนี้ธุรกิจปิโตรเคมีได้ผ่านจุดต่ำสุดคือช่วงไตรมาส2/66 ไปแล้ว ซึ่งอยู่ในภาวะเดียวกันทั่วโลก และคงต้องใช้เวลา อีก 1-2 ปี ในการฟื้นตัวกลับเข้าสู่สภาวะปกติ เนื่องจากดีมานด์และซัพพลายเริ่มกลับมาสู่ระดับที่ดีขึ้น
ดังนั้นบริษัทฯ คงต้องทำหน้าที่ในการบริหารต้นทุนให้แข็งแรงและขยายธุรกิจไปยังธุรกิจใหม่ที่เป็นLow Cabon เช่นเดียวกับการเข้าซื้อ Allnex Holding GmbH (Allnex) ซึ่งคาดว่าจะส่งผลให้ผลการดำเนินการปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าภาวะสงครามระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาส มีผลกระทบ เพราะทำให้ตลาดไม่ค่อยมั่นใจในการซื้อ ซึ่งบริษัทก็ต้องมีความระมัดระวังเรื่องการลงทุนใหม่ๆ รวมไปถึงการบริหารความเสี่ยง ส่วนกรณีการสต็อกน้ำมันดิบ ปัจจุบันบริษัทก็ไม่ได้มีการสต็อกน้ำมันมากนัก เนื่องจากยังมีความเสี่ยงในเรื่องของทิศทางราคาน้ำมันจากสถานการณ์สงคราม แต่ไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องการขาดแคลนสต็อกน้ำมันของบริษัท เพราะมีการบริหารจัดการที่เพียงพอต่อการใช้งานอยู่แล้ว
สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานปีนี้ ยอมรับว่าเหนื่อยโดยเฉพาะผลกระทบจากธุรกิจปิโตรเคมีที่ได้รับผลกระทบทั่วโลก แต่ยังมีธุรกิจโบโอพลาสติกธุรกิจรีไซเคิล กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์ Performance Materials and Chemicals รวมไปถึงธุรกิจโรงกลั่น ที่ยังมีทิศทางที่ดีอยู่