ผู้ชมทั้งหมด 1,614
PTTGC เฮดจิ้งราคาน้ำมัน100%ปิดทางขาดทุนสต๊อกน้ำมัน มั่นใจรายได้เติบโต 8% หลังเดินเครื่อง 3 โครงการ พร้อมเตรียมเงิน 7-8 พันล้านบาทตั้งโต๊ะซื้อหุ้น VNT คาดแล้วเสร็จไตรมาส 3 นี้ เล็งซื้อกิจการบริษัทระดับโลกเพิ่มอีกหวังต่อยอดผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูง
นายคงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC เปิดเผยว่า ในปี 2564 บริษัทฯ ได้ดำเนินการประกันความเสี่ยงราคาน้ำมัน (Hedging) ไว้ 100% เพื่อไม่ให้เกิดการขาดทุนสต๊อกน้ำมันดิบ ถึงแม้ราคาน้ำมันดิบจะต่ำกว่า 50 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลก็ตาม ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนต่อผลประกอบการในปีนี้ได้เป็นอย่างดี ขณะปี 63 ที่ผ่านมาขาดทุนสต๊อกน้ำมันราว 7,156 ล้านบาท
ส่วนรายได้ในปี 2564 คาดว่าจะเติบโตราว 8% ตามการกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นจากโรงงานใหม่ 3 โรงงาน ประกอบด้วย โครงการโพรพิลีนออกไซด์ (Propylene Oxide) หรือ PO โครงการโพลีออลส์ (Polyols) เดินเครื่องเชิงพาณิชย์เมื่อปลายปี 63 เพื่อผลิต PO 2 แสนตันต่อปี และผลิตภัณฑ์โพลีออลส์ 1.3 แสนตันต่อปี ส่วนโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต Olefins Reconfiguration Project (ORP) เป็นการขยายกำลังการผลิตเอทิลีน 5 แสนตันต่อปี และโพรพิลีน 2.5 แสนตันต่อปีเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ช่วงสิ้นเดือน มีนาคม 2564 ที่ผ่านมา ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนต่อผลประกอบการในปี 2564 เติบโตเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
นอกจากนี้ยังได้รับปัจจัยหนุนจากราคาผลิตภัณฑ์กลุ่มปิโตรเคมีปรับตัวเพิ่มขึ้นไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์เม็ดพลาสติกโพลีเอทิลีน (Polyethylene) หรือ PE ราคาอยู่ในระดับ 1,200 เหรียญสหรัฐต่อตัน โพรพิลีนออกไซด์ (PO) ราคาอยู่ในระดับ 2,000 เหรียญสหรัฐต่อตัน และBisphenol A (BPA) ราคาอยู่ในระดับ 3,000 เหรียญสหรัฐต่อตัน ซึ่งปรับตัวเพิ่มขึ้นตามทิศทางเศรษฐกิจโลก หลังจากทั่วโลกเริ่มฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ส่งผลให้ความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์กลุ่มปิโตรเคมีมีความต้องการใช้เพิ่มขึ้น ซึ่งยังส่งผลต่อมาร์จิ้น (Margin) ในแต่ละผลิตภัณฑ์ปรับตัวดีขึ้นด้วย อย่างไรก็ตามคาดว่ามาร์จิ้นผลิตกลุ่มปิโตรเคมีจะปรับตัวลงในครึ่งปีหลัง 2564 เนื่องจากอะโรเมติกส์ล้นตลาดจะกดดันให้มาร์จิ้นอ่อนตัวลงเล็กน้อย
ปิดดีลซื้อหุ้น VNT เสร็จไตรมาส3
ส่วนการการลงทุนซื้อหุ้นบริษัท วีนิไทย จำกัด (มหาชน) หรือ VNT โดยการ Delisting Tender Offer (DTO) จากผู้ถือหุ้นทุกรายในราคาเสนอซื้อต่อหุ้นไม่เกิน 39 บาทนั้นคาดว่าจะดำเนินการซื้อแล้วเสร็จในช่วงไตรมาส 3/2564 คาดว่าจะใช้เงินราว 7,000-8,000 ล้านบาท และจะเริ่มรับรู้เป็นรายได้ต้นปี 2565 ซึ่งการลงทุนในครั้งนี้ จะส่งผลดีต่อการเติบโต พร้อมขยายฐาน สร้างความแข็งแกร่งของธุรกิจปลายน้ำ ของ PTTGC และพร้อมต่อยอดไปสู่ธุรกิจในส่วนของผลิตภัณฑ์ปลายน้ำ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ผลิตภัณฑ์คลอร์-อัลคาไล หรือโซดาไฟ (Chlor-Alkali) และธุรกิจ PVC ซึ่งมีอัตราการเติบโตในระดับที่สูง อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มมูลค่าในธุรกิจสายโอเลฟินส์ให้กับ PTTGC ขณะเดียวกัน VNT ก็มีแผนขยายผลิต PVC เพิ่มขึ้น จากกำลังการผลิต 1.9 แสนตันต่อปีเป็น 3.8 แสนตันต่อปี และขยายตลาดไปยัง CLMV ซึ่งได้แก่ ประเทศกัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม
เล็งซื้อกิจการต่อยอดผลิตภัณฑ์ปลายน้ำ
ทั้งนี้เพื่อสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องบริษัทได้มองหาโอกาสลงทุนซื้อกิจการ M&A เพิ่มเติม โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างเจรจาซื้อกิจการเพื่อต่อยอดผลิตภัณฑ์ปลายน้ำ โดยเน้น 2 กลุ่มผลิตภัณฑ์ เช่น กลุ่มบริษัทที่ดำเนินธุรกิจโรงงานเม็ดพลาสติก High Performance Product เพื่อให้สามารถขยายตลาดเข้าสู่อุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมก่อสร้าง และกลุ่มบริษัทที่ดำเนินธุรกิจผลิตภัณฑ์ Coating and adhesive วัสดุเคลือบผิวและวัสดุกาวและสารสำหรับการยึดติด โดยทั้ง 2 กลุ่มนี้เป็นบริษัทต่างประเทศ
ขณะเดียวกันยังได้ลงทุนใน Corporate Venture Capital (CVC) เน้นการลงทุนในสตาร์ทอัพ 4 ด้านประกอบด้วย 1.Advance Materials 2.Clean Technology 3.Digital และ 4.Health Care เพื่อต่อยอดกับธุรกิจของบริษัทฯ โดยมีการร่วมลงทุนไปแล้ว 20-30 ล้านเหรียญสหรัฐ จากที่ตั้งงบลงทุนไปแล้วราว 70 ล้านเหรียญสหรัฐ
อย่างไรก็ตามในการขยายการลงทุนนั้นบริษัทฯ ได้ข้อกรอบวงเงินกู้ไว้แล้ว 4,000 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยล่าสุดเพิ่งออกหุ้นกู้ราว 1,250 ล้านเหรียญสหรัฐ สำหรับการคืนหุ้นกู้เดิม และขยายการลงทุน ดังนั้นหากมีการลงทุนในโครงการขยายใหญ่อีกก็อาจจะพิจารณาออกหุ้นกู้เพิ่มเติมตามแต่โอกาส
ทั้งนี้จากแผนการขยายการลงทุนนั้นในปี 2568 บริษัทฯ ตั้งเป้ามีสัดส่วน กำไรก่อนหักค่าใช้จ่าย ดอกเบี้ย, ภาษี, ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ของผลิตภัณฑ์ Performance Product และธุรกิจสีเขียวเพิ่มเป็น 25% ธุรกิจโรงกลั่นและปิโตรเคมีจะลดเหลือ 25% จากปัจจุบันอยู่ที่ 50% ส่วนธุรกิจปิโตรเคมีขั้นกลางและขั้นปลาย เช่น ผลิตภัณฑ์ PE และ PO จะอยู่ที่ 50%