ผู้ชมทั้งหมด 5,211
ปตท. คาดผลงานครึ่งปีหลัง 66 ดีกว่าครึ่งปีแรก อานิสงส์ราคาน้ำมันสูงขึ้น ปิโตรเคมีฟื้นตัว ผลิตก๊าซได้ตามแผน ลุยน้ำเข้า LNG วางเป้าปี 2023 เป็น Reginal Hub พร้อมรับภาระค่าเชื้อเพลิง 8,000-9,000 ล้านบาทให้กฟผ. ยันไม่กระทบผลประกอบการ
นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) หรือ PTT เปิดเผยว่า แนวโน้มผลประกอบการในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ คาดว่าจะปรับเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรก 2566 เนื่องจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงครึ่งแรกของปีนี้ โดยปัจจุบันราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกเฉลี่ยในระดับ 80-85 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ขณะที่ค่าการกลั่นยังทรงตัวในระดับที่ดี แม้ว่าจะต่ำกว่าปี 2565 แต่ก็นับว่าดีกว่าช่วงต้นปี 2566 ซึ่งผลประกอบการของ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP มีแนวโน้มเติบโตขึ้น ขณะที่ธุรกิจปิโตรเคมีอยู่ในช่วงที่เริ่มดีขึ้น ดังนั้นในด้านยอดขายของ ปตท.ในปีนี้ คาดปรับตัวสูงขึ้น เมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ดีขึ้น หลังจากในปีนี้ไม่มีผลกระทบจากโควิด – 19 ส่วนกรณีที่
ส่วนกรณีที่รัฐบาลปรับลดค่าไฟงวดเดือน ก.ย.-ธ.ค. 2566 ลงเหลือ 3.99 บาทต่อหน่วย เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายด้านไฟฟ้าให้แก่ประชาชนนั้น ในส่วนของ ปตท. นั้นก็พร้อมรับภาระค่าเชื้อเพลิงที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้าให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ก่อนในงวดนี้ประมาณ 8,000-9,000 ล้านบาท โดยจะไม่กระทบต่อผลประกอบการของปตท. อย่างมีนัยสำคัญ เพราะคาดว่ากฟผ.ทยอยชำระคืนในงวดถัดไป และหากราคาเชื้อเพลิงลดลงอีกในอนาคตค่าเชื้อเพลิงเหล่านี้ก็จะลดลงเป็นผลดีต่อประชาชน
สำหรับภาพรวมทิศทางการดำเนินธุรกิจปีนี้ยังเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยเฉพาะธุรกิจผลิตก๊าซธรรมชาติของ ปตท.สผ. ก็ดำเนินการได้ตามแผนสามารถเข้าพื้นที่แปลง G1/61(เอราวัณ) และผลิตก๊าซเพิ่มขึ้นจาก 200 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันเป็น 400 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน และตามแผนจะเพิ่มเป็น 800 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันภายในเดือนเม.ย. 2567 ขณะเดียวกันเทอมินอล LNG แห่งที่ 2 ขนาด 7.5 ล้านตันก็เสร็จตามแผน ส่งผลให้ปัจจุบันสามารถรองรับ LNG รวม 19 ล้านตัน
อย่างไรก็ตามธุรกิจ LNG นั้นปตท. ตั้งเป้าหมายสู่การเป็น Reginal Hub ในปี 2030 ซึ่งตั้งเป้าจะมีการซื้อขายปริมาณ LNG ผ่าน terminal ทั้งหมด 9 ล้านตัน โดยปัจจุบันมีสัญญา long term 5 ล้านตันแล้ว ซึ่งภายใน 1-2 ปีนี้จะมีการทำตลาดทั้งในไทย และส่งในภูมิภาคอาเซี่ยนอยู่ประมาณ 100,000-200,000 ตัน โดยตลาดในภูมิภาคอาเซี่ยนนั้นในเบื้องต้นจะส่งออกไปยังประเทศเวียดนาม และกัมพูชา นอกจากนี้ ปตท.ยังได้นำความเย็นจากการเปลี่ยนสถานะ LNG ในระดับต่างๆ ไปใช้ในโครงการหน่วยแยกอากาศ และนำความเย็นไปใช้ในการเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตไฟฟ้าของสถานีและอาคารสำนักงาน
ส่วนธุรกิจพลังงานหมุนเวียนของกลุ่ม ปตท. สามารถทำได้ดีกว่าแผนปัจจุบันกำลังการผลิตทั้งในและต่างประเทศรวมกว่า 3,000 เมกะวัตต์ ดังนั้น ปตท.ได้ปรับเป้ากำลังการผลิตพลังงานหมุนเวียนเพิ่มขึ้นจากเดิมตั้งเป้า 12,000 เมกะวัตต์เพิ่มเป็น 15,000 เมกะวัตต์ ภายในปี 2573 นอกจากนี้ยังอยู่ระหว่างการศึกษาลงทุนโครงการกรีนไฮโดรเจนร่วมกับทางซาอุดิอาระเบียอีกด้วย
นายอรรถพล กล่าวถึงกรณีที่ภาครัฐเตรียมปรับค่าการตลาดไม่เกิน 2 บาทต่อลิตรว่า บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR พร้อมร่วมมือและให้ข้อมูลกับกระทรวงพลังงาน อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาค่าการตลาดของ OR ไม่ถึง 2 บาทต่อลิตร แต่ข้อมูลที่แตกต่างจากสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) คือ ค่าการตลาด สนพ.สูงกว่า 2 บาทต่อลิตร เพราะฐานข้อมูลแตกต่างกันทาง สนพ.ใช้ข้อมูลอ้างอิงน้ำมันของสิงคโปร์ที่ไม่มีข้อมูลมาตรฐานยูโร 4 แต่ของ OR ใช้ข้อมูลยูโร 4 จากราคาหน้าโรงกลั่นฯ ซึ่งในต้นปี 2567 มาตรฐานน้ำมันไทยจะเป็นยูโร 5 การอ้างอิงราคาของผู้ค้าน้ำมันและสนพ.ก็จะตรงกัน