ผู้ชมทั้งหมด 718
EGCO ลั่นผลประกอบการครึ่งปีหลังโตกว่าครึ่งปีแรก คาดรับรู้รายได้ปิดดีล M&A โครงการใหม่ทั้งโรงไฟฟ้าConventional และ พลังงานหมุนเวียน เพิ่มทั้งในสหรัฐและอาเซียน พร้อมรับรู้รายได้โครงการ TPN คาด COD ไตรมาส 3ปีนี้ ขณะที่โครงการน้ำเทิน 1 ในลาว มียอดขายไฟเพิ่ม มั่นใจทะลุเป้าหมายเพิ่มกำลังผลิตใหม่ 1,000 เมกะวัตต์ปีนี้ ภายใต้งบ 30,000 ล้านบาท
นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือEGCO เปิดเผยในงานOppday Q2/2023 EGCO เมื่อวันที่ 5 ก.ย.2566 โดยระบุว่า แนวโน้มผลประกอบการในช่วงครึ่งหลังปี 2566 คาดว่าจะเติบโตกว่าครึ่งปีแรก เนื่องจากคาดว่าจะรับรู้รายได้จากการปิดดีลควบรวมหรือเข้าซื้อกิจการ(M&A) โครงการโรงไฟฟ้าใหม่ ทั้งเชื้อเพลิงดั้งเดิม (Conventional) และพลังงานหมุนเวียน ที่อยู่ระหว่างการเจรจาหลายโครงการในสหรัฐและอาเซียน
รวมถึงรับรู้รายได้จากโครงการขยายระบบขนส่งน้ำมันทางท่อไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (TPN) ที่อยู่ระหว่างทดสอบเดินเครื่องเต็มรูปแบบ และจะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์(COD) ได้ในช่วงไตรมาส 3 ปีนี้ โดยปัจจุบันมีลูกค้าจัดซื้อน้ำมันแล้ว คือ ไทยออยล์ ,โอออาร์ และเชฟรอน และอยู่ระหว่างเตรียมทำสัญญาอีก เช่น เชลล์ , บางจาก และเอสโซ่
นอกจากนี้ โครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำ(น้ำเทิน 1) ในลาว ปีนี้มีปริมาณน้ำเต็มเขื่อน คาดว่าจะผลิตไฟฟ้าและจ่ายไฟได้เพิ่มขึ้น ส่งผลดีต่อรายได้ของบริษัทในช่วงที่เหลือของปีนี้ ตลอดจนโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม Yunlin ในไต้หวัน ที่เริ่มทยอยCOD
“ปีนี้ “เอ็กโก กรุ๊ป” ตั้งงบประมาณอยู่ที่ราว 30,000 ล้านบาท คาดว่าจะใช้งบทั้งหมดจากการปิดดีลM&A โครงการใหม่เพิ่มเติม และ 5ปี ใช้งบ 1.5 แสนล้านบาทตามแผน ซึ่งปีนี้ บริษัทมั่นใจว่า จะบรรลุเป้าหมายมีกำลังผลิตไฟฟ้าใหม่เติบโตมากกว่า 1,000 เมกะวัตต์”
ส่วนความคืบหน้าโครงการลงทุนต่างๆ นั้น การลงทุนในโครงการ Apex Clean Energy (APEX) ในสหรัฐ ปัจจุบัน มีการลงทุนโครงการใหม่ 5 โครงการ เป็นโซลาร์ 2 โครงการ พลังงานลม 1 โครงการ และแบตเตอรี่ 2 โครงการ โดยมีกำลังผลิตรวมกว่า 50,000 เมกะวัตต์ จะเดินหน้าทยอย COD ต่อเนื่อง ทั้งในปีนี้ และปีหน้า
โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม Yunlin ในไต้หวันที่ล่าช้าไปจากแผนเนื่องจากติดปัญหาโควิด-19 ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาและมรสุมทำให้เป็นอุปสรรคต่อการก่อสร้าง ขณะนี้อยู่ระหว่างปรับแผนการดำเนินงาน เพื่อให้โครงการติดตั้งกังหันลมแล้วเสร็จ ครบ 80 ต้น ภายในปี 2567 โดยขณะนี้ติดตั้งแล้ว 24 ต้น
ขณะที่โรงไฟฟ้า “เอ็กโก โคเจนเนอเรชั่น ส่วนขยาย” คาดว่า จะทยอย COD ได้ในช่วงต้นปีหน้า ส่วนการเข้าซื้อหุ้น 49% ในโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม “ไรเซ็ก” (RISEC) รัฐโรดไอแลนด์สหรัฐอเมริกา ดำเนินการปิดดีลได้เรียบร้อยแล้วในช่วงต้นปีที่ผ่านมา
ด้านโรงไฟฟ้าเคซอน ในประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงถ่านหิน และใกล้จะหมดอายุลงในปี 2568 นั้น อยู่ระหว่างการเจรจา ซึ่งก็มีแนวโน้มที่ดี
นายเทพรัตน์ ยังกล่าวถึง กรณีรัฐบาลมีแผนจะปรับลดค่าความพร้อมจ่าย(AP) เพื่อแก้ไขปัญหาค่าไฟฟ้าแพงนั้น มองว่า โรงไฟฟ้าแต่ละแห่งได้จัดทำสัญญาซื้อ-ขายไฟฟ้า(PPA)ไปแล้ว การจะปรับเปลี่ยนสัญญาก็เป็นเรื่องยาก แต่ก็สามารถดำเนินการเจรจาเป็นรายโรงไฟฟ้าได้ ขณะเดียวกันมอกว่า การแก้ไขปัญหาค่าไฟฟ้าแพงในระยะยาวจะต้องดูแลเรื่องต้นทุนค่าเชื้อเพลิง โดยเฉพาะต้นทุนก๊าซธรรมชาติ ซึ่งรัฐบาลก็ได้ปูทางเรื่องการนำเข้าก๊าซLNG ไว้แล้ว
ปัจจุบัน เอ็กโก กรุ๊ป มีกำลังผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้นรวมทั้งสิ้น 6,317 เมกะวัตต์ (รวมโรงไฟฟ้าที่เดินเครื่องเชิงพาณิชย์แล้วและโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง) ตั้งอยู่ใน 8 ประเทศ ได้แก่ ไทย ลาว ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ออสเตรเลีย เกาหลีใต้ ไต้หวัน และสหรัฐอเมริกา