ผู้ชมทั้งหมด 543
EGCO เร่งเครื่อง 4 เดือนสุดท้าย ปิดดีลโรงไฟฟ้าในสหรัฐฯ และอาเซียน กว่า 1,000 เมกะวัตต์ ขณะที่ภาพรวมรายได้ปีนี้คาดโตใกล้เคียงปี 65 หลังรับรู้รายได้เต็มปีโรงไฟฟ้าน้ำเทิน 1 โรงไฟฟ้าไรเซ็ก เปิดบริการขนส่งน้ำมันทางท่อไปอีสาน
นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ EGCO เปิดเผยว่า EGCO ยังคงมุ่งมั่นแสวงหาโอกาสการลงทุนในธุรกิจไฟฟ้าแ ละธุรกิจพลังงานที่เกี่ยวเนื่องอย่างต่อเนื่อง โดยการลงทุนในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ บริษัทจะขับเคลื่อนภายใต้กลยุทธ์ระยะสั้น “4S” ที่เน้นการสร้างรายได้อย่างรวดเร็วและเสริมความแข็งแกร่งให้ธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการเลือกลงทุนในโครงการที่มีคุณภาพสูง (Select high quality projects) ในรูปแบบ M&A ทั้งโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงหลัก (Conventional) อย่างก๊าซธรรมชาติ และพลังงานหมุนเวียน (Renewable) ทั้งพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม โดยมีความได้เปรียบจากการมีพันธมิตรที่แข็งแกร่งใน 8 ประเทศ ที่มีฐานทางธุรกิจอยู่แล้ว
ทั้งนี้ในช่วงที่เหลือขอปีนี้อีก 4 เดือนคาดว่าจะสามารถปิดดีลโรงไฟฟ้าโครงการใหม่ 4 โครงการ แบ่งเป็นโครงการในประเทศสหรัฐอเมริกา 2 โครงการ และในอาเซียน 2 โครงการ โดยโครงในสหรัฐฯ ให้ความสนใจในโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ พลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานลม รูปแบบการลงทุนจะเน้นการซื้อกิจการ (M&A) เพราะทำให้รับรู้รายได้ทันที กำลังการผลิตในระดับ 1,000 เมกะวัตต์ แต่ก็ไม่ปิดโอกาสในการเข้าร่วมลงทุนในโครงการใหม่ (กรีนฟิลด์)
ส่วนในอาเซียนก็จะเน้นลงทุนในโครงการพลังงานน้ำ พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม รวมถึงโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ เช่นกัน ซึ่งจะเป็นโรงไฟฟ้าขนาดเล็กกว่าในสหรัฐฯ ดังนั้นในปีนี้ก็มั่นใจว่าจะมีกำลังการผลิตเข้ามาใหม่มากกว่าเป้าหมายที่จะมีโอกาสทะลุ 1,000 เมกะวัตต์ คาดใช้เงินลงทุนประมาณ 3 หมื่นล้านบาท
ทั้งนี้ในปัจจุบัน EGCO มีกำลังผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้นรวมทั้งสิ้น 6,317 เมกะวัตต์ โดยในจำนวนนี้ เป็นโครงการเอเพ็กซ์ที่เดินเครื่องเชิงพาณิชย์ (COD) แล้ว 2 โครงการ กำลังผลิตรวม 294 เมกะวัตต์ และโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง 5 โครงการ กำลังผลิตรวม 657 เมกะวัตต์ ซึ่งจะทยอยแล้วเสร็จระหว่างปี 2566-2568 แบ่งเป็น โครงการพลังงานแสงอาทิตย์ 2 โครงการ ในรัฐเท็กซัส โครงการพลังงานลม 1 โครงการ ในรัฐเมน และโครงการระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ 2 โครงการ ในรัฐเท็กซัส
ขณะเดียวกันยังมีโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนาอีกจำนวนมากถึง 242 โครงการ กำลังผลิตรวม 53,767 เมกะวัตต์ ซึ่งในจำนวนนี้ล้วนมีศักยภาพไม่ว่าจะเป็นโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ พลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานลม แต่จะสามารถลงทุนได้กี่โครงการนั้นก็ขึ้นอยู่กับผลการศึกษาความคุ้มค่าต่อการลงทุนให้ดีก่อน
นายเทพรัตน์ กล่าวถึงภาพรวมผลประกอบการในปี 2566 ว่า แนวโน้มผลประกอบการในปีนี้คาดว่ารายได้รวมจะเติบโตใกล้เคียงกับปี 2565 ในระดับ 65,000 ล้านบาท เนื่องจากได้รับปัจจัยหนุนจากการรู้รายได้แบบเต็มปีของโรงไฟฟ้าน้ำเทิน 1 ใน สปป.ลาว รวมถึงการรับรู้รายได้แบบเต็มปีจากโรงไฟฟ้าไรเซ็ก ในสหรัฐฯ ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วมที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง กำลังการผลิต 609 เมกะวัตต์ เป็นสัดส่วนตามการถือหุ้นของ EGCO ที่ 298 เมกะวัตต์ และยังได้รับปัจจัยหนุน จากโครงการโรงไฟฟ้าหยุนหลิน ในไต้หวัน มีความคืบหน้าในการก่อสร้างได้ตามแผนงาน โดยปัจจุบัน (ณ วันที่ 25 สิงหาคม 2023) สามารถติดตั้งเสากังหัน (Monopiles) แล้วเสร็จจำนวน 39 ต้น และติดตั้งเครื่องผลิตไฟฟ้าจากใบพัดกังหัน (Wind Turbine Generators) ที่สามารถจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบแล้ว จำนวน 22 ต้น
นอกจากนี้ยังรับรู้รายได้จากโครงการขยายระบบขนส่งน้ำมันทางท่อไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (TPN) ที่จะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ภายในไตรมาสที่ 3/2566 ปริมาณความสามารถในการรองรับน้ำมัน 5,443 ล้านลิตรต่อปี ซึ่งปัจจุบันได้มีการลงนามในสัญญาให้บริการขนส่งน้ำมันทางท่อกับกลุ่มลูกค้าแล้ว ไม่ว่าจะเป็น บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR, บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP และกลุ่มบริษัท เชฟรอน และภายหลังจาก บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP ดำเนินการซื้อหุ้น บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ ESSO เสร็จสมบูรณ์ ก็จะทำให้การใช้บริการขนส่งน้ำมันผ่านท่อ TPN เพิ่มขึ้น
สำหรับระยะกลางถึงระยะยาว EGCO ได้วางแผนการลงทุนในธุรกิจพลังงานแห่งอนาคตอย่างซัพพลายเชนไฮโดรเจน ที่มีศักยภาพรองรับการเปลี่ยนผ่านจากพลังงานฟอสซิลไปสู่พลังงานสีเขียว โดย EGCO ได้ร่วมมือกับพันธมิตรหลายแห่งเพื่อศึกษาเทคโนโลยีใหม่ ๆ และความเป็นไปได้ในการลงทุน เช่น การพัฒนาและใช้ประโยชน์จากก๊าซไฮโดรเจนสำหรับการผลิตไฟฟ้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและลดการปล่อยคาร์บอน การพัฒนาธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับซัพพลายเชนไฮโดรเจน ตลอดจนการผลิตกรีนไฮโดรเจนจากโรงไฟฟ้าโบโค ร็อค วินด์ฟาร์ม ของ EGCO ในรัฐนิวเซาท์เวลส์ ออสเตรเลีย ซึ่งเป็นประเทศที่มีศักยภาพสูงในการพัฒนาอุตสาหกรรมกรีนไฮโดรเจน เป็นต้น
ด้านการขับเคลื่อนสู่สังคมคาร์บอนต่ำ เนื่องจากผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ EGCO ได้ปรับเป้าหมายใหม่ที่ท้าทายและเข้มข้นกว่าเดิม เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันและเป็นไปในทิศทางเดียวกับบริษัทชั้นนำของโลก โดยขยับเป้าหมายการบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral) ให้เร็วขึ้นกว่าเดิม 10 ปี เป็น 2040 และเพิ่มเป้าหมายใหม่ คือ การบรรลุการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2050 เนื่องจากเล็งเห็นถึงศักยภาพของเทคโนโลยีด้านการผลิตไฟฟ้าและพลังงานใหม่ ๆ ที่พัฒนาอย่างรวดเร็ว เป้าหมายใหม่นี้จะช่วยสนับสนุนทิศทางการดำเนินธุรกิจและการลงทุนของ EGCO ให้สอดคล้องกับทิศทางของอุตสาหกรรมพลังงานในระดับสากล รวมถึงความต้องการไฟฟ้าในช่วงเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานสะอาด