PLT เดินหน้าลงทุนซื้อเรือไซส์ใหญ่ 1,700 ตัน เล็งขยายตลาดสิงคโปร์ เวียดนาม

ผู้ชมทั้งหมด 791 

PLT เดินหน้าลงทุนซื้อเรือไซส์ใหญ่ 1,700 ตัน เล็งขยายตลาดสิงคโปร์ เวียดนาม พร้อมลุยขนก๊าซ LPG ให้ OR เริ่มสัญญา 1 ธ.ค. 66 คาดช่วยหนุนรายได้ปีนี้เป็น 850 ล้านบาท ส่วนปีหน้ารายได้แตะระดับ 1,000 ล้าน

นายวราวิช ฉิมตะวัน กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีลาทัส มารีน จำกัด (มหาชน) หรือ PLT เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนลงทุนขยายเรือไซส์ใหญ่ ขนาด 1,700 ตัน จำนวน 3 ลำภายใน 3 ปี 2566 – 2568 คาดใช้งบลงทุนในการซื้อเรือประมาณ 350 ล้านบาทต่อลำ ซึ่งเรือขนาดใหญ่จะให้บริการเช่าเดินเรือระหว่างประเทศ เรือลำแรกที่ส่งมอบในปีนี้ PLT เตรียมลงนามสัญญากับพันธมิตรประเทศสิงคโปร์ในเดือนกันยายน 2566 ให้บริการเช่าเรือในรูปแบบ Time Charter เป็นการเช่าเหมาเรือแบบระยะเวลา โดยจะมีการลงนามสัญญาเช่าเป็นเวลา 15 เดือน

การให้บริการเช่าเรือในรูปแบบ Time Charter นั้นเจ้าของเรือมีหน้าที่ที่จะต้องทําให้เรืออยู่ในสภาพที่จะใช้งานได้เท่านั้น ส่วนค่าใช้จ่ายในการเดินเรือตามที่ได้ตกลงกันไว้ในสัญญาการเช่าเหมาเรือ จะตกเป็นภาระของผู้เช่าเรือที่จะต้องรับผิดชอบ ดังนั้นการเปิดให้บริการเช่าเรือขนาดใหญ่จะทำให้ต้นทุนต่อตันถูกลง พอต้นทุนต่อตันถูกลงสามารถเพิ่มค่าเฟรท (ค่าระวางเรือ) ที่ถูกลงกว่าเดิม ทำให้บริษัทสามารถมีกำไรเพิ่มขึ้น ควบคุมต้นทุนได้ดีขึ้น โดยคาดว่า อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) จะอยู่ที่ 20-25%

อย่างไรก็ตามปัจจุบัน PLT มีเรืออยู่ประมาณ 19 ลำ ขนาดเรือ 600-900 ตัน ให้บริการขนส่งภายในประเทศเป็นรูปแบบสัญญาเช่าขนส่งสินค้าล่วงหน้า (COA) โดยส่วนใหญ่ลูกค้าจะเป็นบริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR ในสัดส่วน 60% และบริษัท ดับบลิวพี เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ WP ในสัดส่วน 35% ที่เหลือเป็นลูกค้าที่จ้างเป็นแบบตลาดจร (Spot) ซึ่งธุรกิจเรือขนาด 600-900 ตันนั้นมี Gross Profit Margin ประมาณ 18-20%

นอกจากนี้บริษัทยังให้ความสนใจขยายตลาดในประเทศเวียดนาม เนื่องจากเป็นอีกประเทศที่มีความต้องการใช้ก๊าซ LPG เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรที่ดำเนินธุรกิจก๊าซ LPG รายใหญ่ในประเทศเวียดนาม พร้อมศึกษาเรื่องกฎหมายในการดำเนินธุรกิจขนส่งก๊าซ LPG ทางเรือ คาดว่าจะมีความชัดเจนในปี 2567 

นายวราวิช กล่าวถึงแนวโน้มภาพรวมผลประกอบการในปี 2566 ว่า คาดว่าจะมีรายได้รวมประมาณ 850 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีรายได้รวมราว 790 ล้านบาท เนื่องจากภาพรวมธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลัง 2566 มีทิศทางเติบโตต่อเนื่องจากช่วงครึ่งปีแรก 2566 ในช่วงครึ่งปีหลังเป็นช่วงไฮซีซั่นของการท่องเที่ยว โดยเฉพาะในช่วงไตรมาส 4 จะส่งผลให้มีความต้องการใช้ก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากกลุ่มผู้ประกอบการโรงแรมและร้านอาหาร กลุ่มครัวเรือนภาคธุรกิจและ ภาคอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง ประกอบกับจะรับรู้รายได้จากการให้เช่าเรือขนาดใหญ่ 1,700 ตัน และรับรู้รายได้จากการบริการขนส่งก๊าซ LPG ให้กับ OR ส่วนในปี 2567 คาดว่าจะมีรายรวมแตะระดับ 1,000 ล้านบาท หลังจากรับรู้รายได้เต็มปีจากการให้เช่าเรือขนาดใหญ่ 1,700 ตัน และรับรู้รายได้จากการบริการขนส่งก๊าซ LPG ให้กับ OR และจะส่งผลให้สัดส่วนรายได้จากธุรกิจให้บริการเรืออยู่ที่ 84% ให้บริการรถบรรทุกเพิ่มเป็น 16% จากที่มีสัดส่วน 6%  

ด้าน นายฐกฤต ฉิมตะวัน กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายวางแผนและพัฒนาธุรกิจ PLT กล่าวถึงความคืบหน้าโครงการรับจ้างเหมาขนส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลวทางรถบรรทุก สัญญา 5 ปีจาก OR ว่า มีสัญญาเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2566 ถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2571 รวมทั้งการจัดซื้อรถบรรทุกก๊าซ LPG จำนวน 43 คัน พร้อมถังบรรจุก๊าซ LPG และอุปกรณ์ส่วนควบ เพื่อรองรับงานขนส่งให้กับ OR นั้น ขณะนี้ บริษัทฯ ได้รับมอบรถบรรทุกจากทางผู้ขายในล็อตแรกแล้ว จำนวน 15 คัน โดยคาดว่าจะสามารถเริ่มวิ่งรถให้บริการภายในไตรมาส 3/2566 ก่อนถึงวันเริ่มสัญญาในเดือนธันวาคม ส่งผลให้บริษัทฯ เริ่มรับรู้รายได้ในทันที  ทั้งนี้ในปัจจุบัน PLT มีรถบรรทุกที่รับจ้างขนส่ง LPG ให้กับ WP อยู่จำนวน 39 คัน หากรวมกับ OR ก็จะทำให้มีรถบรรทุกกว่า 80 คัน

อย่างไรก็ตามการลงทุนในธุรกิจก๊าซ LPG นั้นบริษัทฯ ไม่หยุดนิ่งที่จะหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ เพิ่มเติมโดยเตรียมขยายธุรกิจก๊าซ LPG สู่ภาคครัวเรือน ตอบโจทย์ความต้องการใช้ก๊าซ LPG ในภาคครัวเรือนที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นตามสถานการณ์โลก ภายใต้แบรนด์ของบริษัทพลังงานชั้นนำในประเทศไทย โดยบริษัทมีแผนซื้อกิจการโรงบรรจุก๊าซในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล คาดว่าจะมีความชัดเจนเรื่องการลงทุนในต้นปี 2567 ซึ่งจะส่งผลให้ PLT ก้าวสู่ผู้นำในธุรกิจให้บริการก๊าซ LPG แบบครบวงจร