SCG ชี้เศรษฐกิจครึ่งหลังเสี่ยงชะลอตัว คาดรายได้ปี 66 หด! ต้องรัดเข็มขัดปรับลดการทุน

ผู้ชมทั้งหมด 437 

SCG ชี้เศรษฐกิจครึ่งปีหลังเสี่ยงชะลอตัว คาดรายได้ทั้งปี 66 ปรับลดลง ยอดขายไม่ตามเป้า พร้อมรัดเข็มขัดปรับลดการทุน เหลือ 4 หมื่นล้าน ลุยเดินเครื่องโครงการ LSP ไตรมาส 4/66 ขณะที่การดัน SCGC เข้าตลาดหลักทรัพย์ เสนอบอร์ด ส.ค. นี้ เคาะไทม์ไลน์

นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) (SCG) กล่าวว่า รายได้จากการขายในปี 2566 มีแนวโน้มจะไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งเป้าเติบโต 10% จากปีก่อนที่มีรายได้จากการขาย 569,609 แสนล้านบาท เนื่องจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลก จีนและอาเซียน ฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดการณ์ ซึ่งในช่วงครึ่งปีหลัง 2566 ก็ยังมีความเสี่ยงที่จะชะลอตัว

ขณะที่ความต้องการซีเมนต์ วัสดุก่อสร้างในภูมิภาคอาเซียนในครึ่งปีหลัง 2566 ก็มีแนวโน้มปรับตัวลดลง บางประเทศลดลง 10-20% ส่วนราคาของธุรกิจเคมิคอลส์ปรับตัวลดลง 10-20% ในช่วงครึ่งปีแรก 2566 และคาดว่าจะปรับตัวลดลงต่อเนื่องในครึ่งปีหลัง 2566 ซึ่ง SCG ก็พร้อมรับมือ ทั้งนี้กลุ่ม SCG มียอดขายจากต่างประเทศคิดเป็นสัดส่วน 45% ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นสัดส่วนจากอาเซียน ส่วนไทยมีสัดส่วนยอดขายที่ 55%

ส่วนภาพรวมเศรษฐกิจในประเทศไทยแม้จะมีสัญญาณการฟื้นตัวเด่นชัดมาจากปัจจัยหนุนของการท่องเที่ยว แต่ก็ต้องเฝ้าระวังปรากฏการณ์ภัยแล้งเอลนีโญ ซึ่งจะเกิดขึ้นในช่วงสิงหาคมปีนี้ ถึงปลายปีหน้า หลายฝ่ายคาดว่าไทยจะประสบกับภัยแล้งระดับรุนแรง และเกิดภาวะขาดแคลนน้ำในทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นการเกษตร ท่องเที่ยว หรืออุตสาหกรรม ขณะเดียวกันก็ต้องเฝ้าระวังปัจจัยเสี่ยงเรื่องความผันผวนของราคาพลังงาน ซึ่งในช่วงฤดูหนาวราคาน้ำมัน ค่าไฟฟ้าอาจปรับตัวเพิ่มขึ้น

อย่างไรก็ตามเพื่อรองรับปัจจัยเสี่ยงทางธุรกิจและการลงทุน SCG ก็ได้เร่งปรับตัวต่อเนื่องตามแผนงานด้วยการลดต้นทุน เปลี่ยนมาใช้พลังงานสะอาด โดยในปีนี้มีแผนติดตั้งโซลาร์เซลล์ หรือระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ เพิ่มอีก 192 เมกะวัตต์ ทั้งรูปแบบโซลาร์ฟาร์ม โซลาร์ รูฟท็อป และโวลาร์ลอยน้ำ จากในปัจจุบันติดตั้งไปแล้ว 237 เมกะวัตต์ พร้อมกับพัฒนานวัตกรรมสินค้าและบริการมูลค่าเพิ่มสูง (HVA) และสินค้ากรีน เพื่อลดผลกระทบกับปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น

นอกจากนี้จากปัจจัยของเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวช้า และมีความเสี่ยงที่เศรษฐกิจจะชะลอตัว SCG มีแผนปรับลดลงการลงทุน โดยคาดว่าในปีนี้จะใช้งบลงทุนประมาณ 40,000 ล้านบาท จากที่ตั้งเป้าลงทุนกว่า 50,000 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่ยังเป็นการลงทุนในโครงการปิโตรเคมีครบวงจร (LSP) ในประเทศเวียดนาม และลงทุนด้านพลังงานสะอาด พัฒนานวัตกรรมสินค้าและบริการมูลค่าเพิ่มสูง (HVA) และสินค้ากรีน

“เศรษฐกิจมีความท้าทายสูง ซึ่งไม่ง่ายที่จะฟื้นตัวดีในครึ่งปีหลัง 2566 ล่าสุดทางธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ เฟด ก็ได้ปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.25% จากปัจจัยของทิศทางเงินเฟ้อที่ยังสูง ดังนั้นจึงมีความเสี่ยงในเรื่องการชะลอตัวของเศรษฐกิจจะมีมากขึ้น ฉนั้นภาคธุรกิจต้องมีการระมัดระวังเรื่องการลงทุน สถานการณ์แบบนี้ต้องรัดเข็มขัด ปรับลดการลงทุน”นายรุ่งโรจน์ กล่าว

นายรุ่งโรจน์ กล่าวถึงความคืบหน้าโครงการ LSP ว่า ในขณะนี้เริ่มทดลองเดินเครื่องในส่วนโรงงานผลิตเม็ดพลาสติก (Downstream) เสร็จแล้ว ส่วนโรงผลิตโอเลฟินส์ (Upstream) คาดว่าจะเริ่มทดลองเดินเครื่องในเดือนกันยายนนี้ ไตรมาส 4/2566 เริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ได้ทั้งหมดป้อนตลาดโลก ซึ่งมีฐานลูกค้าอยู่แล้ว

ทั้งนี้ โครงการ LSP มีจุดแข็งเรื่องความยืดหยุ่นในการใช้วัตถุดิบ (Feedstock) เมื่อเข้าสู่ฤดูร้อนความต้องการใช้และราคาโพรเพนและ LPG จะต่ำลง ซึ่งบริษัทจะพิจารณาสัดส่วนการใช้วัตถุดิบให้เหมาะสมเพื่อให้ต้นทุนแข่งขันได้     

ส่วนการความคืบหน้าการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ของบริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCGC เพื่อนำเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยนั้นเตรียมจะนำเข้าเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) พิจารณาในเดือนสิงหาคม 2566 ก็จะมีความชัดเจนว่าจะเริ่มดำเนินการเรื่อง IPO ในช่วงใด

นายรุ่งโรจน์ กล่าวถึงผลประกอบการในไตรมาส 2/2566 ว่า SCG มีรายได้ 124,631 ล้านบาท  กำไรสำหรับงวด 8,082 ล้านบาท  กำไรจากการดำเนินงาน 5,216 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน เนื่องจากปริมาณการขายสินค้าพอลิโอเลฟินส์เพิ่มขึ้นในธุรกิจเคมิคอลส์ และต้นทุนพลังงานที่ลดลง ส่วน ผลประกอบการครึ่งปีแรกของปี 2566 SCG มีรายได้จากการขาย 253,379 ล้านบาท ลดลง 17% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักจากยอดขายที่ลดลงของทุกกลุ่มธุรกิจจากสถานการณ์ตลาดที่อ่อนตัว  มีกำไรสำหรับงวด 24,608 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากกำไรจากการปรับมูลค่ายุติธรรมของเงินลงทุน ขณะที่มีกำไรที่ไม่รวมรายการพิเศษ (Profit excluding extra items) 9,786 ล้านบาท ลดลง 49% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน