BOI เผยครึ่งแรกปี66 ยอดส่งเสริมลงทุนพุ่งกว่า 3.6 แสนล้าน

ผู้ชมทั้งหมด 600 

บีโอไอ เผยยอดขอรับการส่งเสริมการลงทุนครึ่งแรกปี 2566 มูลค่ารวมแตะ 3.6 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 70% จากกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย ทั้ง อิเล็กทรอนิกส์ อาหารแปรรูป และยานยนต์ ขณะที่กลุ่มรถยนต์ไฟฟ้า เดินหน้าลงทุนไทยอย่างต่อเนื่อง ทั้งบริษัทผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ชิ้นส่วน และสถานีชาร์จไฟฟ้า ปัจจุบัน มีผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ได้รับการส่งเสริมแล้ว 14 โครงการ เงินลงทุนรวมเกือบ 3.4 หมื่นล้านบาท  คิดเป็นกำลังการผลิต 276,640 คันต่อปี

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ เปิดเผยว่า สถิติคำขอรับการส่งเสริมการลงทุน 6 เดือน (มกราคม – มิถุนายน) ปี 2566 มีโครงการยื่นขอรับการส่งเสริมรวมทั้งสิ้น 891 โครงการ เพิ่มขึ้นร้อยละ 18 และมีมูลค่าเงินลงทุน 364,420 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 70 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สำหรับคำขอรับการส่งเสริมในอุตสาหกรรมเป้าหมาย มีจำนวน 464 โครงการ มูลค่ารวม 286,930 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 79 ของมูลค่าขอรับการส่งเสริมทั้งสิ้น ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนในอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมเกษตรและอาหารแปรรูป อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน ตามลำดับ

ในส่วนอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ มีคำขอรับการส่งเสริมจำนวน 106 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนสูงที่สุด กว่า 1.6 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 7 เท่าตัว เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และยังมีแนวโน้มขยายตัวสูงอย่างต่อเนื่อง อันเนื่องจากกระแสย้ายฐานการผลิตของกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อลดความเสี่ยงจากสงครามการค้าและความขัดแย้งของขั้วมหาอำนาจ รวมทั้งต้นทุนการผลิตในโลกตะวันตกที่สูงขึ้นมาก ประกอบกับนักลงทุนเชื่อมั่นในศักยภาพของไทย จึงเลือกขยายฐานการผลิตมาที่ประเทศไทย โดยเฉพาะโครงการขนาดใหญ่ในกลุ่มแผ่นวงจรพิมพ์ (PCB) เซมิคอนดัคเตอร์ การทดสอบแผงวงจรรวมและ  เวเฟอร์ ตัวเก็บประจุไฟฟ้า เซลล์แสงอาทิตย์ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ

อุตสาหกรรมเกษตรและอาหารแปรรูป ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมหลักของประเทศ มีจำนวน 139 โครงการ เงินลงทุนรวม 51,270 ล้านบาท นอกจากการขยายการลงทุนของผู้ประกอบการรายเดิมทั้งไทยและต่างชาติแล้ว ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ได้มีบริษัทระดับโลกหลายรายตัดสินใจขยายฐานผลิตมาที่ประเทศไทย เช่น บริษัท พริงเกิลส์ ผู้ผลิต มันฝรั่งแผ่นจากสหรัฐอเมริกา และบริษัท โลตัส บิสคอฟ ผู้ผลิตบิสกิตชื่อดังในแบรนด์ Lotus Biscoff สัญชาติเบลเยี่ยม

สำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน มีการลงทุนอย่างต่อเนื่องในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา มีจำนวน 80 โครงการ เงินลงทุนรวม 19,600 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ เช่น ยางล้อ เพลาล้อ ชิ้นส่วนระบบส่งกำลังแบบ Hybrid และสถานีบริการอัดประจุไฟฟ้าสำหรับรถยนต์ EV โดยที่ผ่านมามาตรการส่งเสริมอุตสาหกรรม EV แบบครบวงจรของภาครัฐ ประสบความสำเร็จในการกระตุ้นตลาดรถยนต์ EV และดึงดูดการลงทุนจากผู้ผลิตชั้นนำของโลก จนทำให้ไทยก้าวขึ้นเป็นฐานการผลิตหลักของยานยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาคอาเซียน

ปัจจุบัน มีผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบบ BEV ได้รับการส่งเสริมแล้ว 14 โครงการ เงินลงทุนรวม 33,970 ล้านบาท คิดเป็นกำลังการผลิต 276,640 คันต่อปี ประกอบด้วยผู้ผลิตชั้นนำ เช่น BYD, Great Wall Motor, SAIC (MG), Mercedes Benz และ Horizon Plus ซึ่งเป็นการร่วมทุนระหว่างบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และ Foxconn Technology Group จากไต้หวัน นอกจากนี้ ยังมีผู้ผลิตรายใหญ่อีกหลายรายที่ได้ประกาศแผนการลงทุนในไทยแล้ว เช่น Changan Automobile และ GAC AION ซึ่งคาดว่าจะทยอยยื่นคำขอรับการส่งเสริมในช่วงครึ่งหลังของปีนี้

นอกจากอุตสาหกรรมเป้าหมาย อีกกิจการหนึ่งที่มีผู้ยื่นขอรับการส่งเสริมจำนวนมากคือ กิจการผลิตพลังงานไฟฟ้า โดยมีจำนวน 195 โครงการ เงินลงทุน 26,207 ล้านบาท ในจำนวนนี้ เป็นโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน เช่น แสงอาทิตย์ ลม ชีวมวล ก๊าซชีวภาพ จำนวน 186 โครงการ เงินลงทุน 8,332 ล้านบาท ในแง่พื้นที่ การลงทุนส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) จำนวน 306 โครงการ เงินลงทุนรวม 171,470 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 47 ของการลงทุนทั้งหมด โดยจังหวัดที่มีการขอรับการส่งเสริมสูงสุด ได้แก่ ชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา ตามลำดับ ส่วนใหญ่อยู่ในอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ ยานยนต์และชิ้นส่วน รองลงมาเป็นการลงทุนในพื้นที่ภาคกลาง จำนวน 362 โครงการ เงินลงทุนรวม 75,190 ล้านบาท

สำหรับคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) ในช่วง 6 เดือนแรก มีจำนวน 507 โครงการ เพิ่มขึ้นร้อยละ 33 เงินลงทุน 304,041 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 141 โดยจีนเป็นประเทศที่มีมูลค่าเงินลงทุนมากที่สุด 61,500 ล้านบาท จาก 132 โครงการ ส่วนใหญ่ลงทุนในอุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ อันดับ 2 ได้แก่ สิงคโปร์ 73 โครงการ เงินลงทุน 59,112 ล้านบาท ขณะที่ประเทศญี่ปุ่น แม้ว่าจะเป็นอันดับ 3 จำนวน 98 โครงการ เงินลงทุน 35,330 ล้านบาท แต่มูลค่าคำขอรับการส่งเสริมจากญี่ปุ่นเติบโตขึ้นกว่าเท่าตัวจากครึ่งแรกของปี 2565 ที่มีมูลค่า 16,793 ล้านบาท โดยมีโครงการขนาดใหญ่ในกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และชิ้นส่วนยานยนต์

ขณะที่การออกบัตรส่งเสริม ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ใกล้เคียงการลงทุนจริงมากที่สุดเพิ่มขึ้นมากเช่นเดียวกัน โดยในช่วง 6 เดือนแรก มีการออกบัตรส่งเสริมจำนวน 851 โครงการ เพิ่มขึ้นร้อยละ 24 เงินลงทุนรวม 234,690 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 8 ถือเป็นสัญญาณที่ดีว่าจะมีเม็ดเงินลงทุนจริงมากขึ้นในระยะ 1 ปีข้างหน้า

การลงทุนในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 มีทิศทางที่ดี ทั้งตัวเลขคำขอรับการส่งเสริมการลงทุน และการออกบัตรส่งเสริม ส่วนการลงทุนจากต่างประเทศยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมเป้าหมายสำคัญ สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติที่มีต่อประเทศไทย ทั้งในด้านปัจจัยพื้นฐานและซัพพลายเชนที่แข็งแกร่ง รวมทั้งศักยภาพการเติบโตในระยะยาวของไทย ดังจะเห็นได้จากผลการจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันประจำปี 2566 โดยสถาบัน IMD ที่ประเทศไทยขยับขึ้น 3 อันดับ โดยเฉพาะด้านสมรรถนะทางเศรษฐกิจในปัจจัยย่อยด้านการลงทุนระหว่างประเทศที่ไทยดีขึ้นจากปีก่อนถึง 11 อันดับ จากอันดับ 33 ในปี 2565 มาอยู่ที่อันดับ 22 ในปีนี้ เนื่องจากการเข้ามาของนักลงทุนต่างชาติจำนวนมาก ชี้ให้เห็นว่าท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงทั้งปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ และความผันผวนของเศรษฐกิจโลก ประเทศไทยคือคำตอบสำหรับนักลงทุน”

บีโอไอ ยังเป็นหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนโดยดึงดูดชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูงเข้าสู่ประเทศไทย หรือ Long-Term Resident Visa (LTR Visa) จนถึงสิ้นเดือนมิถุนายน 2566 มีผู้ยื่นขอ LTR Visa แล้วกว่า 4,200 ราย จากยุโรป สหรัฐอเมริกา และจีน ตามลำดับ โดยเมื่อเร็ว ๆ นี้ ได้มีการปรับปรุงขอบข่ายให้รองรับผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีและธุรกิจในสาขาต่าง ๆ ที่มีความสำคัญให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น รวมถึงได้มีการรับรองตัวแทน (Certified Agent) เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ชาวต่างชาติในการยื่นขอ LTR Visa รวมถึงบริการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการย้ายที่อยู่มาพำนักอาศัยในประเทศไทย โดยขณะนี้มีบริษัทตัวแทนร่วมให้บริการแล้วจำนวน 4 ราย นอกจากนี้ บีโอไอยังอยู่ระหว่างการพัฒนาระบบการยื่นขอ LTR Visa และการรับรองเอกสารให้มีประสิทธิภาพและรวดเร็วยิ่งขึ้น เพื่อรองรับความต้องการของชาวต่างชาติที่จะเพิ่มสูงขึ้นหลังจากที่ประเทศต่าง ๆ มีนโยบายเปิดประเทศอย่างเต็มที่ในปีนี้