EAกดปุ่มสตาร์ทโรงงานแบตเตอรี่ไตรมาส2

ผู้ชมทั้งหมด 1,355 

EA เตรียมเดินเครื่องโรงงานแบตเตอรี่ลิเที่ยมไอออน เฟสแรกขนาด 1 กิกะวัตต์ชั่วโมง และโรงงานผลิตรถบัสไฟฟ้าไตรมาส2 ขณะที่ Amita Technology บริษัทย่อยจับมือกับ ITRI สถาบันวิจัยไต้หวันคว้ารางวัลระดับโลก R&D100 จากผลงานการวิจัยและพัฒนาแบตเตอรี่ Solid-state

นายอมร ทรัพย์ทวีกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA เปิดเผยว่า จากการวางแผนกลยุทธ์และการลงทุนของกลุ่ม EA เพื่อสร้าง New S-Curve ตลอดช่วงกว่า 4 ปีที่ผ่านมา จะเริ่มเห็นสะท้อนผลสำเร็จที่เป็นรูปธรรมและสร้างผลประกอบการอย่างชัดเจนตั้งแต่ปี 2564 เป็นต้นไป โดยล่าสุดโรงงานผลิตแบตเตอรี่ลิเที่ยมไอออนเฟสแรกขนาดกำลังการผลิต 1 กิกะวัตต์ชั่วโมงต่อปี (GWh) ที่ ณ ปัจจุบัน ได้ดำเนินการมาจนถึงระยะใกล้จะผลิตจริง โดยอยู่ระหว่างการติดตั้งเครื่องจักรและคาดว่าจะสามารถเริ่มทำการผลิตได้ตั้งแต่ไตรมาส 2/2564

ขณะที่โรงงานประกอบรถบัสโดยสารไฟฟ้าและรถขนาดใหญ่ก็จะเริ่มทำการผลิตและส่งมอบได้ตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 นี้เช่นกัน ในส่วนโครงการเรือโดยสารไฟฟ้า MINE Smart Ferry ที่เปิดให้บริการทดลองวิ่งฟรีอยู่จนถึงช่วงกลางเดือนมีนาคมนี้ ก็พร้อมเริ่มให้บริการเต็มรูปแบบได้ในช่วงกลางปีนี้อีกด้วย

ทั้งนี้ ในส่วนของเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมการผลิตแบตเตอรี่ลิเที่ยมที่กำลังมีการพัฒนาไปสู่ประเภท Solid-state นั้น ทางกลุ่ม EA อยู่ระหว่างการศึกษาอยู่เช่นเดียวกับผู้ประกอบการรายอื่น ซึ่งจากความร่วมมือระหว่าง Amita Technologies Inc., บริษัทย่อยในไต้หวัน กับ Industrial Technology Research Institute หรือ ITRI ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีของรัฐบาลไต้หวัน ได้ร่วมกันทำการพัฒนาแบตเตอรี่ Solid-state ในชื่อ NAEPE (Networked-Amide Epoxy Polymer Electrolyte) จนได้รับรางวัล R&D100 ประจำปี 2020 ซึ่งเป็นรางวัลด้านการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระดับโลก และได้รับการกล่าวถึงว่าเป็น “The Oscars of Innovation Awards” จากผลสำเร็จในครั้งนี้ ทำให้ EA เชื่อว่า กลุ่มของบริษัทฯ จะสามารถพัฒนาเทคโนโลยีดังกล่าวจนนำไปสู่การผลิตเชิงพาณิชย์ และต่อยอดไปยังยานยนต์ไฟฟ้าที่มีประสิทธิสูงยิ่งขึ้นได้ต่อไป

ส่วนภาพรวมธุรกิจของบริษัทฯในปี 2564 จะแสดงถึงการก้าวเข้าสู่ New S-Curve อย่างชัดเจนและเชื่อว่าจะมีรายได้ที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องและมีนัยสำคัญเริ่มตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 เป็นต้นไป โดยได้รับปัจจัยหนุนจากธุรกิจแบตเตอรี่ ธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า และธุรกิจสถานีอัดประจุไฟฟ้าที่ทั้งหมดจะมีการเติบโตที่เกี่ยวเนื่องและสนับสนุนกัน ในขณะที่ธุรกิจเดิมคือโรงไฟฟ้าโซลาร์ฟาร์มและวินด์ฟาร์ม ขนาดกำลังการผลิตรวม 664 เมกะวัตต์ ยังคงเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้และอัตรากำไรที่แข็งแรงอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้มีการขยายไปยังโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนรูปแบบใหม่ทั้งโซลาร์รูฟท็อป และโซลาร์ลอยน้ำ อีกทั้งยังมีการศึกษาและเตรียมการพัฒนาโครงการอื่นๆ ที่น่าสนใจ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยคาดว่าจะใช้เงินลงทุนใครงการต่างๆปีนี้รวม 6,141 ล้านบาท

อนึ่งที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯได้อนุมัติให้จ่ายเงินปันผลประจำปี 2563 โดยจ่ายเป็นเงินสดในอัตราหุ้นละ 0.30 บาท (สามสิบสตางค์) ซึ่งได้กำหนดสิทธิผู้ถือหุ้น(Record Date) เพื่อกำหนดสิทธิในการรับปันผลประจำปี2563 เป็นวันที่ 15 มีนาคม 2564 และกำหนดการจ่ายเงินปันผลดังกล่าวในวันที่ 21 พฤษภาคม 2564 พร้อมทั้งอนุมัติการออกหุ้นกู้มูลค่ารวมไม่เกิน 20,000 ล้านบาท เพื่อนำไปใช้ลงทุนและชำระคืนหุ้นกู้และเงินกู้ระยะยาวที่ครบกำหนด ทั้งนี้ จะนำเสนอเพื่อขออนุมัติต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นที่จะมีขึ้นในวันที่ 23 เมษายน 2564 ต่อไป