ผู้ชมทั้งหมด 403
GPSC โชว์ผลประกอบการไตรมาส 1/66 กำไรโต 257% รับปัจจัยหนุนโรงไฟฟ้า SPP ดีขึ้น ราคาเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ ถ่านหินลดลง รับส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนโครงการพลังงานสะอาดในประเทศอินเดีย พร้อมเดินหน้าสู่เป้าหมายเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียน 50% ในปี 73
นายวรวัฒน์ พิทยศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC แกนนำนวัตกรรมธุรกิจไฟฟ้ากลุ่ม ปตท. เปิดเผยถึงผลประกอบการไตรมาส 1/2566 บริษัทฯ มีรายได้ทั้งสิ้น 27,905 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีกำไรสุทธิ 1,118 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 257% และเมื่อเทียบกับไตรมาส 4/2565 กำไรสุทธิของบริษัทฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้น 356%
โดยมีปัจจัยบวกจากการปรับค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (Ft) ของงวดเดือนมกราคม-เมษายน 2566 ที่สะท้อนต้นทุนพลังงานมากขึ้น ส่งผลให้ margin ของโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก (SPP) ที่จำหน่ายไฟฟ้าให้กับกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมสูงขึ้น แม้ว่าปริมาณการขายไฟฟ้าและไอน้ำในกลุ่มอุตสาหกรรมจะลดลง จากการหยุดซ่อมบำรุงของลูกค้าอุตสาหกรรมในไตรมาสแรกก็ตาม
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยจากผลการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าเก็คโค่วันที่มีกำไรเพิ่มขึ้น ราคาเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ ถ่านหินลดลง ประกอบกับได้รับส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนใน บริษัท อวาด้า เอนเนอร์ยี่ ไพรเวท จำกัด (Avaada Energy Private Limited หรือ AEPL) เพิ่มขึ้น รวมถึงค่าใช้จ่ายในด้านการขายและบริหารลดลง แม้ว่าบริษัทฯ จะได้รับส่วนแบ่งกำไรของ โรงไฟฟ้าพลังน้ำไซยะบุรีลดลงจากปริมาณน้ำลดลงก็ตาม
ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังคงติดตามราคาพลังงานทั้งราคาก๊าซธรรมชาติ และราคาถ่านหินอย่างใกล้ชิด ควบคู่ไปกับการบริหารจัดการและเพิ่มประสิทธิภาพในขบวนการผลิต หรือ Optimization และมีการจัดลำดับการเดินเครื่องผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าที่มีต้นทุนการผลิตที่ต่ำเป็นลำดับแรก เพื่อลดต้นทุนการผลิตให้ได้มากที่สุด รวมทั้งบริษัทฯ ยังให้ความสำคัญในการ Synergy เพื่อบริหารจัดการด้านการผลิต ลดต้นทุน และใช้โครงข่ายไฟฟ้าและไอน้ำร่วมกัน รวมถึงการดำเนินการด้านอื่นๆ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด พร้อมกันนี้บริษัทฯ มีแผนขยายการลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนอย่างต่อเนื่องเดินหน้าสู่เป้าหมายเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียน 50% ในปี 2573
สำหรับทิศทางเศรษฐกิจในปี 2566 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้คาดการณ์เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มการขยายตัวอยู่ในระดับ 3.6% จากการฟื้นตัวภาคการท่องเที่ยวอย่างชัดเจน ซึ่งมีผลต่อการจ้างงาน และยังมีปัจจัยสนับสนุนไปถึงการบริโภคของภาคเอกชนที่จะทำให้ความต้องการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น ขณะที่การส่งออกไตรมาสแรก เริ่มเห็นสัญญาณฟื้นตัว ซึ่งคาดว่าจะฟื้นตัวชัดเจนในช่วงครึ่งปีหลัง แต่เศรษฐกิจโลกยังมีความไม่แน่นอนเพิ่มขึ้นจากแนวโน้มเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูง รวมถึงปัญหาสถาบันการเงินในต่างประเทศที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด