ผู้ชมทั้งหมด 504
บริษัท ปตท.สผ. เอนเนอร์ยี่ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (ปตท.สผ.อีดี) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP (ปตท.สผ.) เข้าสู่การเป็นผู้ดำเนินการ (Operator) โครงการจี 1/61 (แหล่งเอราวัณ, ปลาทอง, สตูล, ฟูนาน) และโครงการจี 2/61 (แหล่งบงกช) ภายใต้สัญญาแบ่งปันผลผลิต (PSC) อย่างไรก็ตามการส่งมอบพื้นที่ของโครงการจี 1/61 เกิดความล่าช้าส่งผลให้การผลิตไม่เป็นไปตามแผน จึงต้องเร่งดำเนินงานตามแผนเพื่อเพิ่มอัตราการผลิตก๊าซธรรมชาติ เพื่อให้ผลิตได้ตามสัญญา และสร้างความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ
อย่างไรก็ตามในช่วงการเปลี่ยนผ่านผู้สัมปทานโครงการจี 1/61 ส่งผลให้การผลิตก๊าซธรรมชาติล่าช้า กระทบต่อปริมาณการผลิตก๊าซฯ ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ส่งผลให้รัฐบาลต้องนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) มาชดเชยเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า ประกอบกับในช่วงที่ผ่านมาราคา LNG มีราคาแพง จึงส่งผลให้ต้นทุนเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้น
ในช่วงที่ผ่านมาการนำเข้า LNG มาชดเชยในการผลิตไฟฟ้าเป็นจังหวะช่วงที่ LNG ราคาแพง จึงส่งผลให้ต้นทุนเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้น ทั้งนี้หากการผลิตก๊าซธรรมชาติในโครงการจี 1/61 เป็นไปตามเป้าที่ปตท.สผ. ตั้งเป้าไว้ก็จะช่วยให้สามารถลดต้นทุนค่าเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า และยังช่วยให้ราคาค่าไฟฟ้าลดลงได้อย่างมีนัยสำคัญ
นายสราวุธ แก้วตาทิพย์ อธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ในฐานะหน่วยงานที่กำกับดูแลการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในประเทศ กล่าวว่า กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ได้ติดตามการดำเนินงานเจาะหลุมและผลิตปิโตรเลียมในโครงการจี 1/61 อย่างใกล้ชิด โดยติดตามรายงานผลการเจาะและผลิตทุกหลุม ทุกวัน ซึ่งจากการติดตามการดำเนินงานพบว่า กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ปัจจุบันมีกำลังการผลิตอยู่ที่ 240 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน และมั่นใจว่า ปตท.สผ.อีดี จะผลิตได้ตามเป้าหมาย ซึ่งจะช่วยให้ลดต้นทุนค่าเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าได้อย่างมีนัยสำคัญ และลดการนำเข้า LNG ได้หลายลำเรือเลยทีเดียว
ขณะที่โครงการจี 2/61 (แหล่งบงกช) หลังจากการเปลี่ยนผ่านจากระบบสัมปทานเป็นระบบสัญญาแบ่งปันผลผลิต ตั้งแต่วันที่ 8 มีนาคม 2566 ปัจจุบันโครงการมีปริมาณการผลิตก๊าซธรรมชาติที่ 700 – 800 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน สามารถช่วยลดต้นทุนค่าเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าได้กว่า 20,000 ล้านบาท นอกจากนี้โครงการยังมีการสร้างและติดตั้งแท่นผลิต และเจาะหลุมพัฒนาปิโตรเลียมอย่างต่อเนื่องเพื่อรองรับการผลิตตามสัญญา
ด้าน นายมนตรี ลาวัลย์ชัยกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP (ปตท.สผ.) กล่าวว่า ความคืบหน้าในโครงการจี 1/61 บริษัทได้เร่งการเจาะหลุมผลิต เพื่อให้สามารถเพิ่มอัตราการผลิตก๊าซฯ ตามแผนงานที่วางไว้ โดยจะเพิ่มเป็น 400 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันภายในช่วงกลางปีนี้ และจะเพิ่มเป็น 600 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันในปลายปี และจะขึ้นมาอยู่ที่ 800 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันในเดือนเมษายน 2567 ซึ่งมั่นใจว่าจะสามารถดำเนินได้ตามเป้าหมายอย่างแน่นอน เนื่องจาก ปตท.สผ.อีดี ได้เตรียม อย่างไรก็ตามเพื่อให้ปริมาณการผลิตก๊าซฯ ได้มากขึ้นปตท.สผ. ได้ติดตั้งแท่นหลุมผลิตไปแล้ว จำนวน 8 แท่นเป็นที่เรียบร้อย ตั้งแต่ปลายปี 2565 และในปีนี้จะติดตั้งแท่นหลุมผลิตเพิ่มอีก 4 แท่น
แหล่งข่าวจากกระพลังงาน ระบุว่า หาก ปตท.สผ.อีดี ผลิตก๊าซฯ ได้ตามเป้าหมาย ช่วงกลางปีนี้หรือในเดือน กรกฎาคม 2566 ที่จะมีปริมาณก๊าซ 400 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน นั้นจะนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงการผลิตไฟฟ้าได้ประมาณ 6,000 เมกะวัตต์ เรียกได้ว่าสามารถลดการนำเข้า LNG ได้เป็นอย่างดี จากตัวเลข ณ เดือนมกราคม 2566 นั้นการจัดหาก๊าซธรรมชาติที่ผลิตในประเทศมีสัดส่วน 64% หรือคิดเป็น 2,692 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน สัดส่วนนำเข้า 36% หรือคิดเป็น 1,487 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน โดยในสัดส่วนการนำเข้านั้นแบ่งเป็นนำเข้าจากเมียนมา 12% LNG 24% ซึ่งหากปตท.สผ.อีดี ผลิตก๊าซฯ ได้ตามเป้าหมายก็จะช่วยให้ปริมาณการจัดหาก๊าซธรรมชาติที่ผลิตในประเทศมีสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น
แหล่งข่าวจากกระทรวงพลังงาน ระบุว่า หากปตท.สผ.อีดี ผลิตก๊าซฯ จากโครงการจี 1/61 ได้ตามแผนประกอบกับหากราคา LNG ช่วงปลายปีไม่เกิน 20 เหรียญสหรัฐต่อล้านบีทียูก็จะช่วยทำให้ลดการพึ่งพาการนำเข้า LNG ลง และจะช่วยให้ค่าไฟฟ้างวด 3/66 (ก.ย.-ธ.ค.) ลดลงด้วย โดยราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 4.30-4.40 บาทต่อหน่วยลดลงราว 40 สตางค์จากงวด 2/66 (พ.ค.-ส.ค.) ที่ค่าไฟฟ้าราคาเฉลี่ย 4.70 บาทต่อหน่วย โดยค่าไฟฟ้างวด 2/66 นั้นได้คำนวณจากราคา LNG ตลาดจรที่ 14.87 เหรียญต่อล้านบีทียู