ผู้ถือหุ้น BCP ไฟเขียวซื้อ ESSO มั่นใจปิดดีลจบปีนี้ หนุนกำลังการกลั่นเป็น 294,000 บาร์เรลต่อวัน ใหญ่ที่สุดในประเทศ

ผู้ชมทั้งหมด 900 

ผู้ถือหุ้น BCP ไฟเขียวซื้อ ESSO มูลค่ากิจการรวม 5.5 หมื่นล้านบาท คาดราคาซื้อขายหุ้นสุดท้ายอยู่ในช่วง 8-9 บาทต่อหุ้น มั่นใจปิดดีลการทำธุรกรรมได้ภายในปีนี้ ชี้ช่วยให้กำลังการกลั่นน้ำมันเพิ่มขึ้นเป็น 294,000 บาร์เรลต่อวัน ใหญ่ที่สุดในประเทศ

นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทบางจาก และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP เปิดเผยว่า ที่ประชุมผู้ถือหุ้นบริษัทฯเมื่อวันที่ 11 เม.ย . 2566 ได้มีมติเห็นชอบการเข้าซื้อหุ้น และทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ที่เหลือทั้งหมด (เทนเดอร์ ออฟเฟอร์)ของ บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ ESSO ด้วยคะแนนเสียง 99.85%

ทั้งนี้ BCP จะดำเนินการซื้อหุ้นสามัญโดยตรง จำนวน 2,283,750,000 หุ้น คิดเป็น 65.99% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดของ ESOO จาก ExxonMobil Asia Holdings Pte.Ltd. ภายหลังจากได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (กขค.) เป็นที่เรียบร้อย หลังจากนั้นก็จะดำเนินการทำคำเสนอซื้อหุ้น ESSO ที่เหลือทั้งหมดไม่เกิน 1,177,108,000 หุ้น หรือคิดเป็น 34.01% ในราคาเดียวกันภายใน 25-45 วัน โดยคาดว่าธุรกรรมจะเสร็จสิ้นภายในครึ่งหลังของปี 2566 ตามกรอบระยะเวลาที่วางไว้

ส่วนราคาซื้อขายหุ้นสุดท้ายคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 8-9 บาทต่อหุ่น ซึ่งต้องรองบการเงินของ ESSO ในไตรมาส 2/2566 ถึงจะทราบราคาสุดท้าย อย่างไรก็ตามราคา ณ วันที่ 11 เม.ย. 2566 อยู่ที่ 8.85 บาทต่อหุ้น โดยแหล่งเงินทุนในการซื้อหุ้น ESSO นั้นมาจากกระแสเงินสดและการกู้ยืมจากสถาบันการเงิน โดย BCP ตั้งงบในการซื้อ ESSO อยู่ที่ 5.5 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นการซื้อหุ้น ESSO ราว 3 หมื่นล้านบาท และหนี้สินกว่า 2 หมื่นล้านบาท และมั่นใจว่าการทำธุรกรรมจะสิ้นสุดหรือจบดีลภายในสิ้นปี 2566

หากการซื้อหุ้น ESSO แล้วเสร็จจะส่งผลให้ BCP ได้สินทรัพย์ที่เกี่ยวข้อง คือ โรงกลั่นน้ำมันกำลังการกลั่น 174,000 บาร์เรลต่อวัน เครือข่ายคลังน้ำมัน และสถานีบริการน้ำมันทั่วประเทศกว่า 700 แห่ง และส่งผลให้ BCP มีกำลังการกลั่นน้ำมันเพิ่มขึ้นเป็น 294,000 บาร์เรลต่อวัน มีสถานะเป็นโรงกลั่นขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ละมีเครือข่ายสถานีบริการรวมเป็น 2,150 แห่งหรือคิดเป็น 7.4% ของจำนวนสถานีบริการน้ำมันทั้งหมด รวมทั้งสิทธิการใช้ท่อส่งน้ำมันแทปไลน์ด้วย

อย่างไรก็ตามการบริหาร 2 โรงกลั่นภายใต้ BCP จะทำให้เกิด Synergy ในการจัดหาน้ำมันดิบได้หลากหลายขึ้น และบางจากมีปริมาณน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้นจากโรงกลั่น ESSO โดยบริษัทฯ คาดว่าจะสามารถคืนทุนได้ภายใน 4-5 ปี ซึ่งบางจากจะทยอยเปลี่ยนโลโก้สถานีบริการน้ำมัน ESSO เป็นโลโก้ใหม่ของบางจากให้แล้วเสร็จภายในปี 2567

“การเข้าทำธุรกรรมครั้งนี้ เมื่อแล้วเสร็จจะเป็นการต่อยอดธุรกิจของกลุ่มบริษัทบางจากที่ให้ความสำคัญกับผู้บริโภค ชุมชนและสิ่งแวดล้อม โดยเมื่อเกิดการประหยัดต่อขนาด การลดต้นทุนทางธุรกรรม จะมีการส่งต่อผลประโยชน์ดังกล่าวให้กับผู้บริโภคดังที่เคยเป็นมาในช่วงน้ำมันราคาสูงเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา นอกจากนั้น สถานีบริการที่เพิ่มมากขึ้นก็จะทำให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึง “แบรนด์บางจาก” ได้ง่ายขึ้น ตลอดจนส่งผลดีต่อเศรษฐกิจของประเทศในหลายด้าน โดยเฉพาะในการสร้างความมั่นคงทางพลังงานของประเทศ ผมขอขอบคุณผู้ถือหุ้นทุกท่าน ที่ให้ความเชื่อมั่นและสนับสนุนบางจากฯ อย่างดีในการลงทุนครั้งนี้ คณะกรรมการ ผู้บริหารและพนักงานทุกคนยังคงมุ่งมั่นพัฒนาบริษัทฯ ให้เติบโตอย่างต่อเนื่องและสร้างผลตอบแทนที่คุ้มค่าและยั่งยืนต่อผู้มีส่วนได้เสียทางธุรกิจทุกภาคส่วนต่อไป”นายชัยวัฒน์ กล่าว

พร้อมกันนี้ในการประชุมครั้งนี้ ที่ประชุมได้อนุมัติจัดสรรกำไรเพื่อจ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานปี 2565 ให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราหุ้นละ 1.00 บาท ซึ่งเมื่อรวมกับเงินปันผลระหว่างกาลงวดครึ่งปีแรกของปี 2565 ในอัตรา 1.25 บาทต่อหุ้น จะรวมเป็นเงินปันผลที่จ่ายในปี 2565 ในอัตรา 2.25 บาทต่อหุ้น