ผู้ชมทั้งหมด 851
“BANPU ปี 65 กำไรสูงสุดเป็นประวัติการณ์ (นิวไฮ) 1,162 ล้านเหรียญสหรัฐ โต 282% ปัจจัยสนับสนุนหลักมาจากราคาถ่านหิน ราคาก๊าซธรรมชาติอยู่ในระดับสูง รวมถึงการรับรู้กำไรจากการลงทุนในแหล่งก๊าซ XTO“
บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) หรือ BANPU ล่าสุดได้รายงานผลการดำเนินงานประจำปี 2565 มีกำไรสุทธิ 1,162 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 40,518 ล้านบาท เติบโต 282% เมื่อเทียบกับปี 2564 ที่มีกำไรสุทธิ 304 ล้านเหรียญสหรัฐ เรียกได้ว่าทำกำไรสุทธิสูงสุดเป็นประวัติการณ์ (นิวไฮ) นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษท โดยปัจจัยสำคัญมาจากราคาถ่านหินที่ยังคงทรงตัวอยู่ในระดับสูง โดยราคาตลาดโลกในปี 2565 นั้นเฉลี่ยในระดับ 300 เหรียญสหรัฐต่อตัน และในบางช่วงราคาทะลุ 400 เหรียญสหรัฐต่อตัน ส่วนราคาขายถ่านหินของบ้านปูเฉลี่ยปรับตัวสูงขึ้นที่ราคาขายเฉลี่ย 167.66 เหรียญสหรัฐต่อตัน และราคาก๊าซธรรมชาติเฉลี่ยปรับตัวสูงขึ้นที่ราคาขายเฉลี่ย 5.72 เหรียญต่อพันลูกบาศก์ฟุต เพิ่มขึ้นร้อยละ 58 เทียบกับปีที่ผ่านมา
นอกจากนี้ยังรวมผลจากการบริหารจัดการสินทรัพย์ต่างๆ ในระหว่างปีไม่ว่าจะเป็นการรับรู้กำไรจากการจำหน่ายหุ้นในบริษัท Sunseap Group Pte. Ltd. จำนวน 179 ล้านเหรียญสหรัฐ การรับรู้กำไรจากการลงทุนในแหล่งก๊าซธรรมชาติ North Texas Shale หรือ XTO ในประเทศสหรัฐอเมริกาจำนวน 171 ล้านเหรียญสหรัฐ และผลกระทบจากการตั้งสำรองค่าเผื่อการด้อยค่า สำหรับโครงการเหมืองอัลไตนูรส์ (Altai Nuurs) ที่อยู่ในประเทศมองโกเลียจำนวน 375 ล้านเหรียญสหรัฐ อัน เนื่องมาจากโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งที่จำเป็นต่อการพัฒนาโครงการ และเปิดดำเนินการในเชิงพาณิชย์ไม่ได้ เป็นไปตามแผนที่วางไว้จึงได้ตั้งสำรองค่าเผื่อการด้อยค่าทางบัญชีในงบการเงินประจำปี 2565
พร้อมกันนี้ยังได้รับปัจจัยสนับสนุนจาก บริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BPP ที่มีกำไรสุทธิ 5,738 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2564 ที่มีกำไรสุทธิ 3,127 ล้านบาท เนื่องจากในปีที่ผ่านมา (2565) โรงไฟฟ้าของ BPP สามารถรักษาประสิทธิภาพเพื่อการผลิตไฟฟ้าให้เป็นไปอย่างต่อเนื่องมั่นคงในทุกๆ โรงไฟฟ้า โดยโรงไฟฟ้า ก๊าซธรรมชาติ Temple I ประเทศสหรัฐอเมริกา รายงานผลการดำเนินงานที่ดีจากความต้องการใช้ไฟฟ้าที่ดีอย่าง ต่อเนื่อง มีกำไรสุทธิ 15.24 ล้านเหรียญสหรัฐ โรงไฟฟ้า HPC มีส่วนแบ่งกำไร 105.03 ล้านเหรียญสหรัฐ มีค่าความพร้อมจ่ายหรือค่า EAF ในระดับสูงที่ร้อยละ 86 โรงไฟฟ้า BLCP มีส่วนแบ่งกำไรจากการดำเนินงาน 16.22 ล้านเหรียญสหรัฐ มีค่าความพร้อมจ่ายที่สูงถึงร้อยละ 93 โรงไฟฟ้า Nakoso ในประเทศญี่ปุ่นมีส่วนแบ่งกำไร 8.11 ล้านเหรียญสหรัฐ
EBITDA เติบโต
ขณะที่กระแสเงินสดจากการดำเนินงานนั้นก็เติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษีและค่า เสื่อมราคา (EBITDA) รวม 3,916 ล้านเหรียญสหรัฐ ปรับตัวเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 120 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดย EBITDA จาก ธุรกิจถ่านหิน จำนวน 2,654 ล้านเหรียญสหรัฐ (เพิ่มขึ้นร้อยละ 127 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า)ธุรกิจก๊าซธรรมชาติ จำนวน 1,052 ล้านเหรียญสหรัฐ (เพิ่มขึ้นร้อยละ 107เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า) ธุรกิจไฟฟ้า จำนวน 231 ล้านเหรียญสหรัฐ (เพิ่มขึ้นร้อยละ 120 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า) และ ธุรกิจเทคโนโลยีพลังงาน (Energy Technology) จำนวน -22 ล้านเหรียญสหรัฐ ธุรกิจแหล่งพลังงาน (Energy Resources) สามารถสร้างรายได้และกระแสเงินสดที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ อันเป็นผลมาจากการมุ่งเน้นพัฒนาประสิทธิภาพและความยืดหยุ่นในการผลิต รวมทั้งสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มจากอานิสงค์ราคาพลังงานทั่วโลกที่ปรับตัวสูงขึ้น ทั้งจากธุรกิจถ่านหินและก๊าซธรรมชาติ
อย่างไรก็ตาม ธุรกิจเทคโนโลยีพลังงาน กลุ่มบ้านปูยังเดินหน้าในการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นโซลูชันพลังงานฉลาด เพื่อความยั่งยืน มีความหลากหลายสอดรับความต้องการในทุกกลุ่มลูกค้า และรองรับเทรนการเป็นสังคมคาร์บอนต่ำ โดยขยายการลงทุนในหลากหลายประเทศ และร่วมมือกับพันธมิตร เพื่อเพิ่มศักยภาพให้กับทุกกลุ่มธุรกิจ
สำหรับในปีที่ผ่านมาได้มีการเพิ่มกำลังการผลิตจากธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์บนหลังคาทั้งในประเทศไทย ต่อยอดไปยังประเทศจีนและ อินโดนีเซีย โดยปัจจุบันมีกำลังการผลิตรวมเป็น 205 เมกะวัตต์ การเดินหน้าพัฒนาธุรกิจระบบกักเก็บพลังงาน ซึ่งครอบคลุมถึงการผลิต และจำหน่ายแบตเตอรี่ผ่านการเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัท ดูราเพาเวอร์โฮลดิ้ง จำกัด (Durapower) โดยปัจจุบันมีสถานะการถือหุ้นเพิ่มเป็นร้อยละ 65.10 รวมทั้งการจัดตั้งโรงงานแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนใน ประเทศไทย ผ่านการร่วมลงทุนระหว่าง Banpu NEXT (ร้อยละ 30), Durapower (ร้อยละ 30) และ บริษัท เชิดชัย มอเตอร์เซลส์ จำกัด (ร้อยละ 40) ซึ่งคาดว่าจะเริ่มเปิดดำเนินการในปี 2566 นี้
นอกจากนี้บริษัทฯ ยังเดินหน้าในการ ขยายธุรกิจเมืองอัจฉริยะ และการบริหารจัดการพลังงาน (Energy management) เพื่อให้เกิดการใช้พลังงานอย่างฉลาด และมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยมีโครงการที่ดำเนินการอยู่รวม 20 แห่ง ในส่วนของธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้าหรือ E-mobility, มีการขยายการจัดการ Fleet management ให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น ปัจจุบันมีจุดบริการ Ridesharing ผ่านบริษัท มูฟมี (Muvmi) กว่า 2,500 จุด, Car sharing ผ่าน Haup car มีจุดให้บริการกว่า 1,500 จุด และสถานีชาร์จผ่าน Evolt กว่า 300 สถานี และจุดบริการหลังการขายรถยนต์ไฟฟ้าผ่าน บริษัท บียอนด์ กรีน จำกัด รวม 20 แห่งโดยบริษัทฯ ยังคงมุ่งหน้าการพัฒนาธุรกิจพลังงานสะอาดเพื่อสร้างความเติบโตต่อไป เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายในแต่ละธุรกิจตาม แผนงานที่ได้วางไว้ภายในปี 2568