ผู้ชมทั้งหมด 728
SCC ตั้งเป้าปี 66 ยอดขายโต 10% หลังเศรษฐกิจมีแนวโน้มฟื้นตัว หนุนความต้องการสินค้าเพิ่ม พร้อมอัดงบลงทุน 4-5 หมื่นล้าน ขณะที่ผลประกอบการปี 65 รายได้เพิ่มขึ้น 7%
นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ในปี 2566 เติบโต 10% เทียบกับปีก่อนซึ่งมีรายได้อยู่ที่ 569,609 ล้านบาท เนื่องจากเศรษฐกิจปีนี้มีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้น เทศจีนเริ่มเปิดประเทศ ภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคเริ่มกลับมาคึกคักอีกครั้ง ซึ่งจะทำให้ความต้องการสินค้าเพิ่มขึ้น
ส่วนงบลงทุนในปี 2566 บริษัทฯ ตั้งงบลงทุนไว้ราว 4-5 หมื่นล้านบาท ซึ่งเงินลงทุนส่วนใหญ่ในปีนี้ หรือประมาณครึ่งหนึ่งจะใช้สำหรับลงต่อเนื่องในโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ Long Son Petrochemicals ( LSP)ที่ประเทศเวียดนามตามแผน ส่วนที่เหลือในสำหรับโครงการต่อเนื่องที่อยู่ในแผน อย่างไรก็ตามสำหรับโครงการ LSP นั้นมีกำลังการผลิตโอเลฟินส์อยู่ที่ 1.35 ล้านตันต่อปี และโพลิโอเลฟินส์อยู่ที่ 1.4 ล้านตันต่อปี จะเดินเครื่องผลิตเชิงพาณิชย์กลางปี 2566 จะส่งผลให้กำลังการผลิตเพิ่มของ SCC เพิ่มขึ้น
นายรุ่งโรจน์ กล่าวว่า เพื่อรักษาความมั่นคงทางการเงินและสภาพคล่อง จะดำเนินการลงทุนตามกลยุทธ์อย่างรอบคอบ รัดเข็มขัด เนื่องจากยังไม่แน่ใจว่าวิกฤติจะอยู่อีกนานเท่าไร นอกจากนี้บริษัทจะเน้นการลดต้นทุนการผลิต มีการใช้พลังงานสะอาดเข้ามาแทนมากขึ้น จะเห็นว่าในปีนี้ราคาพลังงาน ราคาถ่านหินเริ่มอ่อนตัวลง ส่วนค่าไฟ และราคาก๊าซธรรมชาติก็ยังสูง เมื่อเทียบปีก่อน ดังนั้นบริษัทจึงมีแผนลดต้นทุนอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มีประสิทธิภาพการผลิตมากขึ้น
ขณะที่ผลประกอบการของปี 2565 SCC มีรายได้ 569,609 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% เมื่อเทียบกับปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 21,382 ล้านบาท ลดลง 55% เมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากเศรษฐกิจชะลอตัว ราคาปิโตรเคมีปรับตัวลดลง ต้นทุนพลังงานสูง ในขณะที่ไตรมาส 4/2565 มีกำไร 157 ล้านบาท อย่างไรก็ตามตลอดปีที่ผ่านมา SCC มีการรับมือกับผลกระทบได้เป็นอย่างดี โดยมุ่งเน้นรักษาเสถียรภาพทางการเงินให้มั่นคง ลดต้นทุนการผลิต โดยใช้พลังงานทดแทน และเทคโนโลยีดิจิทัลในกระบวนการผลิต พิจารณาการลงทุนตามกลยุทธ์อย่างรอบคอบ ส่งผลให้เงินสดคงเหลือแข็งแกร่งอยู่ที่ 95,000 ล้านบาท
ขณะเดียวกันความท้าทายที่ผ่านมาก็เอื้อให้เกิดโอกาสใหม่ๆ ของธุรกิจ โดยเฉพาะความต้องการสินค้ากรีน ซึ่งเป็นทิศทางสำคัญของโลกและมีการขยายตัวต่อเนื่อง ทั้งกลุ่มพลังงานสะอาด พลาสติกรักษ์โลก โซลูชันประหยัดพลังงาน บรรจุภัณฑ์ที่ลดการใช้ทรัพยากร โดยในปี 2565 ยอดขาย SCG Green Choice เติบโตโดดเด่น 34% เกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ หรือมียอดขายรวม 51% ซึ่งทุกกลุ่มธุรกิจของบริษัทพร้อมเร่งเดินหน้าเต็มที่ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งของธุรกิจให้มากยิ่งขึ้น
ด้าน นายธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ SCC กล่าวว่า จากวิกฤติต้นทุนพลังงานทั้งถ่านหินและค่าไฟที่พุ่งสูงขึ้นอย่างมาก บริษัทฯ จึงได้ดำเนินการขยายการลงทุนในธุรกิจพลังงานสะอาด ณ สิ้นปี 2565 มีกำลังการผลิต 234 เมกะวัตต์ เพิ่มขึ้น 78% จากปีก่อน ด้วยระบบเครือข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ Smart Grid สำหรับนิคมอุตสาหกรรม เครือข่ายโรงงานอุตสาหกรรม โรงแรม โรงพยาบาล ล่าสุดติดตั้งแล้วที่กลุ่มบริษัทสหยูเนี่ยน บางปะกง เชื่อมโยงพลังงานสะอาดระหว่าง 10 บริษัทช่วยลดต้นทุนพลังงาน 30% และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 3,670 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ต่อปี
สำหรับธุรกิจธุรกิจพลังงานสะอาดนั้นต่อยอดจากความเชี่ยวชาญด้านพลังงานสะอาดของ SCC เพื่อลด ผลกระทบจากต้นทุนพลังงานที่เพิ่มขึ้น ตามการปรับตัวขึ้นของราคาพลังงานในตลาดโลกโดยปี 2565 บริษัทเพิ่มสัดส่วนใช้เชื้อเพลิงทดแทนเป็น 34% จาก 26% เมื่อเทียบกับปีก่อน และมีการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ 194 เมกะวัตต์ เพิ่มขึ้นจาก 130 เมกะวัตต์ในปีก่อน