ผู้ชมทั้งหมด 1,389
บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ให้ความสำคัญกับการดำเนินการด้านสิ่งแวดล้อม (Environment) สังคม (Social) และธรรมาภิบาล (Governance) มาอย่างต่อเนื่อง โดยดำเนินการควบคู่กับการสร้างการเติบโตให้กับองค์กรให้ไปสู่เป้าหมายของความยั่งยืน
คุณมัทนา สุตธรรม ผู้จัดการนักลงทุนสัมพันธ์และวางแผน เอสโซ่ ระบุว่า เอสโซ่ดำเนินธุรกิจภายใต้วิสัยทัศน์ “เติมเต็มพลังชีวิต ด้วยประสบการณ์พลังงานที่เหนือกว่า” โดยการดำเนินธุรกิจบริษัทฯ จะยึดหลัก ESG มาโดยตลอด ซึ่งเอสโซ่นั้นมีประวัติอันยาวนานในการตอบสนองความต้องการพลังงานของสังคมที่ปรับเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลาอย่างมีเสถียรภาพและยั่งยืน โดยมีการลงทุนในเทคโนโลยีและพัฒนาบุคลากรมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อการปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิต เพื่อตอบสนองความต้องการน้ำมันเชื้อเพลิงที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างทันท่วงทีนั้นจะใช้ทั้งความยืดหยุ่น การประเมินวิธีการ การเพิ่มประสิทธิภาพและบูรณาการงานต่างๆ เข้าด้วยกันอย่างต่อเนื่อง โดยที่ยังสามารถดูแลสิ่งแวดล้อมได้
อย่างไรก็ตามแนวทางการจัดการสิ่งแวดล้อมของบริษัทฯ นั้นมีรากฐานจากความเข้าใจเกี่ยวกับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินงานของบริษัทฯ และความมุ่งมั่นในการพัฒนา รักษา และดำเนินโครงการอย่างยั่งยืนโดยใช้มาตรฐานที่เหมาะสมซึ่งช่วยให้บริษัทฯ สามารถ ‘ปกป้องวันพรุ่งนี้ ในวันนี้’ นั่นคือการทำงานด้วยระบบบริหารการปฏิบัติงานให้มีความปลอดภัย (OIMS)
สำหรับ OIMS เป็นระบบที่บริษัทในเครือเอ็กซอนโมบิลทั่วโลกนำมาใช้เพื่อบริหารจัดการความเสี่ยงที่อาจเกิดจากการปฏิบัติงาน ที่จะช่วยกำหนดขอบเขตการทำงาน การจัดลำดับความสำคัญของแต่ละประเด็น และการติดตามความคืบหน้าของการนำนโยบายไปปฏิบัติจริง ซึ่งการที่เอสโซ่ให้ความสำคัญกับการจัดการสิ่งแวดล้อมตลอดมานั้นบ่งบอกถึงการดำเนินธุรกิจเพื่อความยั่งยืนได้อย่างชัดเจน
สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับชุมชน
นอกจากการบริหารจัดการด้านสิ่งแวดล้อมที่ดีแล้ว เอสโซ่ยังได้สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับชุมชน สังคม สร้างพันธมิตรทางธุรกิจ รวมทั้งคู่ค้า และพนักงาน ผ่านการสื่อสารหลากหลายรูปแบบ ซึ่งนอกจากการสื่อสารภายในองค์กรเพื่อให้การทำงานปลอดภัยทุกขั้นตอนแล้ว เอสโซ่ยังมีการจัดกิจกรรมพบปะกับชุมชนที่อยู่ใกล้กับที่ทำงานขององค์กร รวมทั้งโรงกลั่น ผ่านหลายช่องทางทั้งสื่อดิจิทัล โซเชียลมีเดีย
โดยเฉพาะในช่วงที่เกิดโรคระบาดโควิด-19 บริษัทฯ ก็มีการจัดกิจกรรมหลากหลายรูปแบบ ซึ่งพนักงานของบริษัทเข้ามามีส่วนร่วมกับหน่วยงานหลายระดับ ไม่ว่าจะเป็นร่วมกับสภากาชาดไทย บริจาคเงินกว่า 1 ล้านบาท เพื่อซื้อเครื่อง Oxygen High Flow ที่ใช้รักษาผู้ป่วยโรคโควิด-19 ขั้นรุนแรง มอบบัตรเติมน้ำมันเอสโซ่มูลค่า 1.3 ล้านบาท ให้แก่สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ เพื่อใช้ในการขนส่งผู้ป่วยโควิด-19 ซึ่งได้จากโครงการแลกคะแนนสะสมเพื่อบริจาคของสมาชิกบัตรเอสโซ่ สไมล์ส หรือการมอบอุปกรณ์ป้องกันการติดเชื้อ (PPE) ให้กับสำนักงานเขตคลองเตย เพื่อการใช้งานของเจ้าหน้าที่และอาสาสมัคร ณ จุดคัดกรองและจุดบริการฉีดวัคซีนของเขตคลองเตย
การดำเนินธุรกิจตามหลักธรรมาภิบาล
การดำเนินธุรกิจที่จะก้าวประสู่ความยั่งยืนสิ่งสำคัญ คือ การดำเนินธุรกิจตามหลักธรรมาภิบาล (Governance) ซึ่งเอสโซ่ได้ดำเนินงานโดยวางแนวทางการกำกับดูแลกิจการตามแนวทางของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมาโดยตลอด ซึ่งการบริหารงานของบริษัทฯ ไม่เพียงแต่มีทีมบริหารที่มีความมุ่งมั่นและดำเนินธุรกิจโดยเน้นความมีระเบียบวินัยและความตรงไปตรงมา แต่ยังคำนึงถึงโอกาสในระยะยาวในการสร้างการเติบโตเพิ่มมูลค่าให้แก่ผู้ถือหุ้น ควบคู่ไปกับการบริหารจัดการความเสี่ยงในการดำเนินงานและการประกอบธุรกิจ
อย่างไรก็ตามในยุคที่โลกกำลังเผชิญปัญหาด้านสภาวะโลกร้อน เผชิญปัญหาการระบาดของโควิด – 19 ปัญหาการเมืองระดับประเทศ การเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยี หรือปัญหาอื่นๆ ในอนาคตที่ยากจะคาดเดา เอสโซ่ ก็ยังมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงสภาพแวดล้อม ความปลอดภัย ทั้งการลงทุนทางด้านเทคโนโลยี ผนวกกับส่งเสริมศักยภาพพนักงาน เพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันในตลาดที่มีการแข่งขันสูงและมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา และทำให้บริษัทฯ สามารถจัดหาพลังงานที่จำเป็นต่อการพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของคนในประเทศได้เป็นอย่างดี ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นการดำเนินงานที่อยู่ภายใต้การกำกับทิศทางที่ตรวจสอบได้ เป็นธรรม เท่าเทียมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วนตามแนวทาง ESG ที่เอสโซ่ยึดมั่น
“บริษัทเชื่อว่าการใส่ใจในการดูแลสิ่งแวดล้อม ดูแลสังคมและชุมชนที่เราดำเนินงานให้มีคุณภาพ มีชีวิตที่ดี และการบริหารงานอย่างโปร่งใสตรวจสอบได้จะช่วยทำให้เราสามารถแข่งขันทางธุรกิจ และเติบโตอย่างยั่งยืน พร้อมสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผู้ถือหุ้นได้”