ผู้ชมทั้งหมด 900
“ท่าฉาง กรีน เอ็นเนอร์ยี่” เปิดกลยุทธ์สู่ผู้นำอุตสาหกรรมพลังงานทดแทน รับเมกะเทรนด์ Green Energy มุ่งขยายการลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนทั้งในและต่างประเทศ พร้อมเดินหน้าเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ กำหนดราคาเสนอขาย IPO ที่ 2.00 บาทต่อหุ้น เปิดจองซื้อวันที่ 9 – 11 ส.ค.นี้
นายพงศ์นรินทร์ วนสุวรรณกุล ประธานกรรมการบริหารและกรรมการ บริษัท ท่าฉาง กรีน เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ TGE ผู้นำด้านอุตสาหกรรมพลังงานทดแทนที่เป็นมิตรต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม เปิดเผยว่า บริษัทฯ พร้อมเข้าสู่การเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ด้วยความมุ่งมั่นสร้างการเติบโตทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง เพื่อนำมาสู่ผลตอบแทนที่ดีและยั่งยืนแก่ผู้มีส่วนได้เสียในทุกภาคส่วน ภายใต้วิสัยทัศน์องค์กรที่ให้คุณค่าในเรื่อง 1) Technology พัฒนาและปรับปรุงเทคโนโลยีการผลิตด้วยนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง 2) Governance ดำเนินธุรกิจด้วยธรรมาภิบาล เป็นมิตรต่อชุมชมและสิ่งแวดล้อม 3) Excellence มุ่งมั่นผลลัพธ์ที่เป็นเลิศ โดยเน้นการลงทุนในธุรกิจพลังงานทดแทน ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีความมั่นคงและแนวโน้มการเติบโตสูง
ปัจจุบัน TGE เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายกระแสไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน กำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งรวมทั้งหมด 51.7 MW ประกอบด้วย โรงไฟฟ้าชีวมวลที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) แล้ว 3 โครงการ ได้แก่ โรงไฟฟ้า TGE, TPG และ TBP จังหวัดสุราษฎร์ธานี กำลังการผลิตติดตั้งรวม 29.7 MW มีสัญญาซื้อขายไฟให้แก่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค 20.3 MW ภายใต้ระบบ Feed-in Tariff (FiT) ตลอดอายุสัญญา และมีปริมาณไฟฟ้าขายให้แก่กลุ่มท่าฉางอุตสาหกรรม ภายใต้สัญญาแบบ Non Firm อีก 7.0 MW นอกจากนี้ ยังมีโรงไฟฟ้าขยะชุมชนที่อยู่ระหว่างการพัฒนา 3 โครงการ ได้แก่ โรงไฟฟ้า TES SKW จังหวัดสระแก้ว, โรงไฟฟ้า TES RBR จังหวัดราชบุรี และโรงไฟฟ้า TES CPN จังหวัดชุมพร กำลังการผลิตติดตั้งรวม 22 MW ซึ่งได้รับคัดเลือกจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแล้ว โดยเมื่อวันที่ 30 มิ.ย. 2565 คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ได้ออกประกาศรับซื้อไฟฟ้าโครงการผลิตไฟฟ้าจากขยะชุมชนแล้ว ขั้นตอนต่อไปการไฟฟ้าจะเปิดรับยื่นคำเสนอขายไฟฟ้าและทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้า คาดว่าจะเริ่ม COD ภายในปี 2567
ดร.ศักดิ์ดา ศิริภัทรโสภณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TGE กล่าวว่า บริษัทฯ มีจุดเด่นและข้อได้เปรียบผู้ประกอบการโรงไฟฟ้ารายอื่นๆ ดังนี้ 1) การเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้า โดยในระยะสั้นจะมุ่งลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานขยะชุมชนที่มีศักยภาพและให้ผลตอบแทนสูง 2) การนำเทคโนโลยีผลิตไฟฟ้าที่ทันสมัยมาใช้เพิ่มประสิทธิภาพในการแข่งขัน 3) การมีความมั่นคงด้านวัตถุดิบจากทำเลที่ตั้งโรงไฟฟ้าชีวมวลตั้งอยู่ในแหล่งเพาะปลูกปาล์มที่สำคัญของประเทศ และการเป็นบริษัทในกลุ่มท่าฉางอุตสาหกรรมที่ดำเนินธุรกิจโรงสกัดน้ำมันปาล์ม จึงนำผลพลอยได้มาใช้ผลิตไฟฟ้า รวมถึงการรับซื้อวัตถุดิบชีวมวลหลากหลายประเภทจากเกษตรกรรอบพื้นที่โรงงาน 4) การผลิตไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพสูงในต้นทุนต่ำ โดยออกแบบโรงไฟฟ้าชีวมวลให้รองรับเชื้อเพลิงได้หลากหลายชนิด ทั้งเชื้อเพลิงที่มีความชื้นสูงมากและเผาวัตถุดิบชีวมวลประเภททะลายปาล์มเปล่าได้ 100% ส่วนโรงไฟฟ้าขยะชุมชนจะใช้เทคโนโลยีที่เผาขยะมูลฝอยที่มีความชื้นสูงและใช้กระบวนการผลิตไฟฟ้าจากขยะแบบเผาตรงโดยไม่ต้องผ่านกระบวนการคัดแยก 5) ดำเนินธุรกิจด้วยหลักธรรมาภิบาล รับผิดชอบต่อชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อม พร้อมให้ความสำคัญกับแนวทางพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน (ESG) ทั้งหมดนี้ทำให้ TGE เป็นบริษัทพลังงานที่มีคุณภาพ สามารถสร้างความเจริญเติบโตอย่างยั่งยืน
โดยมีเป้าหมายขยายกำลังการผลิตติดตั้งโรงไฟฟ้าเป็นไม่น้อยกว่า 200 MW ภายในปี 2575 เน้นลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนที่มีศักยภาพทั้งในและต่างประเทศ รับโอกาสเติบโตไปกับเมกะเทรนด์ Green Energy และนโยบายของภาครัฐที่จะเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนประเภทต่างๆ อาทิ พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม พลังน้ำ พลังงานชีวมวล ก๊าซชีวภาพ และพลังงานจากขยะ พร้อมหาโอกาสขยายธุรกิจและการลงทุนที่เกี่ยวกับพลังงานทางเลือกใหม่ๆ รวมทั้งแสวงหาพันธมิตรทางธุรกิจที่สามารถต่อยอดการเติบโตในอนาคต
นางสาวพัชรา ทองประไพ ผู้อำนวยการฝ่ายบัญชี และการเงิน TGE กล่าวว่า ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวนในช่วงที่ผ่านมา แต่บริษัทฯ ยังรักษาการเติบโตแข็งแกร่ง โดยผลการดำเนินงานช่วงปี 2562 – 2564 มีรายได้รวม 347.5 ล้านบาท 713.5 ล้านบาท และ 807.5 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ย (CAGR) 52.4% ต่อปี ปัจจัยมาจากการเปิด COD โรงไฟฟ้าชีวมวลอย่างต่อเนื่อง ทำให้รับรู้รายได้เพิ่มขึ้นจากการขายไฟฟ้า รวมถึงรายได้จากการขายน้ำและไอน้ำ อีกทั้งในปี 2563 เริ่มมีรายได้จากการให้บริการกำจัดขยะจากโครงการโรงไฟฟ้าขยะชุมชน จังหวัดสระแก้ว ในส่วนของกำไรสุทธิปี 2562 – 2564 ปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 94.3 ล้านบาท 166.9 ล้านบาท และ 202.1 ล้านบาท ตามลำดับ เป็นผลจากการรับรู้รายได้ของโรงไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น การควบคุมบริหารจัดการต้นทุนขายและค่าใช้จ่ายในการบริหารที่มีประสิทธิภาพ และอัตราการใช้กำลังการผลิตไฟฟ้าที่สูงขึ้น
ขณะที่ผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 1/2565 มีรายได้รวม 233.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 42% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 51.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.5% จากช่วงเดียวกันปีก่อน เนื่องจากกำลังการผลิตกระแสไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น ตามการเปิด COD ของโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวล TBP จังหวัดสุราษฎร์ธานี และมีรายได้จากการจำหน่ายน้ำและไอน้ำ ซึ่งเป็นผลพลอยได้จากการผลิตกระแสไฟฟ้า อย่างไรก็ดี บริษัทฯ มีอัตรากำไรสุทธิที่ 23.3% ลดลงเล็กน้อยจาก 27.4% ในช่วงไตรมาส 1/2564 จากผลกระทบการปิดระบบสายส่งเป็นครั้งคราวจากการปรับปรุงถนนของกรมทางหลวง ทำให้ไม่สามารถขายไฟฟ้าได้เต็มประสิทธิภาพ
นางรัชดา เกลียวปฏินนท์ กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ2 บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า กำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ที่ 2.00 บาทต่อหุ้น ซึ่งเป็นราคาที่เหมาะสมและสะท้อนปัจจัยพื้นฐานของ TGE โดยจุดเด่นของหุ้นตัวนี้อยู่ที่รายได้และกระแสเงินสดที่มั่นคง มีอัตรากำไรที่แข็งแกร่ง โดย TGE มี EBITDA Margin เฉลี่ยที่สูงถึง 47% สูงกว่าผู้ประกอบการอื่นในธุรกิจเดียวกันเนื่องจากมีข้อได้เปรียบเชิงการแข่งขันจากการมีวัตถุดิบที่เพียงพอและมั่นคง สามารถผลิตไฟฟ้าให้มีประสิทธิภาพสูงและมีต้นทุนต่ำ อีกทั้ง TGE ยังมีแผนขยายสู่ธุรกิจโรงไฟฟ้าขยะที่มีอัตรากำไรที่สูงขึ้น ดังนั้น จึงมีศักยภาพที่จะขยายกำลังการผลิตให้เติบโตและสร้างกำไรที่ดีได้ในอนาคต
สำหรับราคาเสนอขายหุ้น IPO ที่ 2.00 บาท คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิ (P/E Ratio) เท่ากับ 15.3 เท่า เทียบกำไรสุทธิที่ 0.13 บาทต่อหุ้น คำนวณจากกำไรสุทธิของบริษัทในช่วง 12 เดือนย้อนหลัง (1 เม.ย. 64 – 31 มี.ค. 65) ที่ 208.9 ล้านบาท หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดของบริษัทก่อนเสนอขายหุ้นในครั้งนี้ที่ 1,600 ล้านหุ้น (Pre-IPO Dilution) และคิดเป็น P/E Ratio เท่ากับ 21.0 เท่า เทียบกับกำไรสุทธิที่ 0.095 บาทต่อหุ้น คำนวณจากจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดของบริษัทหลังการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้ที่ 2,200 ล้านหุ้น (Pre-IPO Dilution)
ส่วน P/E Ratio ของบริษัทจดทะเบียนที่ประกอบธุรกิจคล้ายคลึงกันที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ 4 บริษัท ได้แก่ ACE, CV, ETC, TPCH มีค่าเฉลี่ยอยู่ประมาณ 28.2 เท่า โดยอ้างอิงข้อมูลช่วงระยะเวลา 12 เดือนย้อนหลังระหว่างวันที่ 27 กรกฎาคม 2564 ถึงวันที่ 25 กรกฎาคม 2565 โดยราคาเสนอขายหุ้นในครั้งนี้ ยังไม่รวมมูลค่าโครงการใหม่ๆ ที่บริษัทจะเข้าร่วมประมูลเพิ่มเติมอีก 4 โครงการในช่วงปลายปีนี้ สำหรับหุ้น TGE จะเปิดให้จองซื้อในวันที่ 9 – 11 สิงหาคม 2565 คาดว่าจะนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ภายในเดือนสิงหาคมนี้