พลังงาน ผนึก กฟผ. หนุนแผนมุ่งสู่เป้าหมายลดโลกร้อน

ผู้ชมทั้งหมด 637 

พลังงาน จับมือ กฟผ. จัดเสวนาลดโลกร้อน สร้างความตระหนัก มุ่งเป้า Carbon Neutral ในปี 2050 และ Net Zero Emission ในปี 2065

วันนี้ (12 กรกฎาคม 2565) ศ.ดร.พิสุทธิ์ เพียรมนกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า การจัดเสวนาในวันนี้สืบเนื่องมาจากสถานการณ์วิกฤตพลังงานในปัจจุบัน ซึ่งถือว่าเป็นวิกฤตซ้อนวิกฤตที่เกิดขึ้นทั่วโลก โดยเกิดจากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ การเปลี่ยนแปลงของความเชื่อมโยงของโลกที่ต่างจากในอดีต วิกฤตที่เกิดขึ้นนี้ได้ส่งผลกระทบต่อราคาพลังงานและอาจจะกระทบต่อการผลิตอาหารของโลก การจัดเสวนาในครั้งนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี และได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานต่างๆ ทั้ง กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก และ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ซึ่งทั้งหมดล้วนมีเป้าหมายเดียวกันคือการใช้พลังงานให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดไปพร้อมกับการรักษาสิ่งแวดล้อม

“ผมต้องการให้ทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นประชาชน ผู้ประกอบการ โรงงานอุตสาหกรรม ช่วยกันลดการใช้ไฟฟ้า เพราะการลดไฟฟ้าได้ 10% นั้น จะเกิดประโยชน์ได้ถึง 3 มุมหลักๆ ได้แก่ 1. ได้รักษาทรัพยากรธรรมชาติที่สามารถเก็บไว้ให้รุ่นลูกรุ่นหลานในวันข้างหน้า 2. สามารถลดงบประมาณในภาพรวมของประเทศได้ ก็ทำให้สามารถนำเงินงบประมาณที่ประหยัดได้กลับมาพัฒนาประเทศ 3. ทำให้ประเทศไทยสามารถประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย Carbon Neutral ที่ได้กำหนดไว้ ซึ่งทั้งหมดล้วนทำให้เกิดประโยชน์กับประเทศ จึงขอให้ประชาชนหันมาสนใจรวมทั้งถ่ายทอดประโยชน์ของการประหยัดพลังงานและการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยเริ่มต้นจากตัวเองสู่ครอบครัว และขยายสู่ระดับสังคม และสามารถเริ่มทำได้ทันที ” ศ.ดร.พิสุทธิ์ กล่าว

น.ส. อโณทัย สังข์ทอง ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก ได้แสดงความคิดในการเสวนาครั้งนี้ว่า ปัจจุบันหลายประเทศทั่วโลกมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากเกินสมดุล จึงได้สร้างกรอบความร่วมมือในการร่วมกันลดก๊าซเรือนกระจก ซึ่งสำหรับประเทศไทยก็ได้ให้ความสำคัญเพื่อบรรลุเป้าหมาย ความเป็นกลางทางคาร์บอน 2050 หรือ Carbon Neutrality และตั้งเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกทั้ง 7 ชนิด (Net Zero Emission)ภายใน 2065 รวมทั้งการส่งเสริมและพัฒนาการใช้เทคโนโลยีการกักเก็บคาร์บอนที่จะมีการใช้ในอนาคต

ด้านนายวัชรินทร์ บุญฤทธิ์ ผู้อำนวยการกองยุทธศาสตร์และแผนงาน กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) กล่าวเสริมว่า การประหยัดพลังงานเป็นส่วนสำคัญในการช่วยการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ประชาชนทั่วไปสามารถร่วมมือกันเพียงแค่ ปิด ปรับ ปลด เปลี่ยน การใช้พลังงาน ตัวอย่างเช่นการ ปรับแอร์ขึ้น 1 องศา ก็จะสามารถประหยัดพลังงานได้ 10% ซึ่งในภาคครัวเรือนก็สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับเครื่องใช้อื่นๆ ได้ ส่วนภาคอุตสาหกรรม ทาง พพ. ก็จะมีการออกมาตรการร่วมกับสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากภาคพลังงาน โดยมีแผนอนุรักษ์พลังงานและแผนพลังงานทดแทนมาเป็นกรอบในการดำเนินงาน

ส่วนนายชัยวุฒิ หลักเมือง ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารด้านการใช้ไฟฟ้าและกิจการเพื่อสังคม การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ทาง กฟผ. ก็ตระหนักถึงการปล่อย co2 จากภาคพลังงาน จึงได้คิดแผนงานและดำเนินโครงการต่างๆ โดยมีหลัก Triple S หรือ 3S ประกอบด้วย 1. Sources Tranformation คือการเปลี่ยนมาใช้พลังงานทดแทนในการผลิตไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น 2. Sink Co-Creation คือการปลูกป่าเพื่อดักจับและกักเก็บคาร์บอน และ 3. Support Measures Mechanism คือการสร้างเครื่องมือหรือกลไกต่างๆ ผ่านโครงการอนุรักษ์ต่างๆ เข่น ฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 โครงการ BCG Model รวมทั้งการส่งเสริมการประยุกต์ใช้ IoT ในเครื่องใช้ไฟฟ้า

และในส่วนของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย นายอาทิตย์ เวชกิจ กรรมการสถาบันพลังงานเพื่ออุตสาหกรรม ได้กล่าวว่า ทางสภาอุตสาหกรรมฯ ได้ส่งเสริมการลดใช้พลังงานและลดการปลดปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ในภาคอุตสาหกรรม    มาอย่างต่อเนื่อง และต้องยอมรับว่า Carbon Neutrality เป็นเทรนของโลก การดำเนินธุรกิจกับบริษัทระหว่างประเทศ ก็จะมีการกำหนดการใช้พลังงานที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ขัดเจน และในบางประเทศมีกำหนดเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนภายใน 2030 ซึ่งเร็วกว่าประเทศอื่นๆ ดังนั้น ไทยควรเป็นประเทศที่มีความมุ่งมั่นในการเป็นผู้นำในการขับเคลื่อนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ไม่ใช่ทำเพราะเป็นไปตามประชาคมโลก และที่สำคัญ หากประเทศไทยยังไม่มีมาตรการหรือนโยบายที่เท่าทันต่อสถานการณ์ในภาคอุตสาหกรรม อาจส่งกระทบต่อเศรษฐกิจและ GDP ของประเทศได้ เนื่องจากบริษัทต่างชาติที่คำนึงถึงการใช้ไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังงานสะอาด ก็จะไม่เข้ามาลงทุนในประเทศ หรือย้ายฐานการผลิตออกนอกประเทศ