ผู้ชมทั้งหมด 449
กูรูมองหุ้น TOP ยังคงน่าลงทุน คาดไตรมาส 2-3/65 Market GIM ปรับตัวเพิ่มขึ้นในระดับ 8-9 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ชี้แทรกแซงค่าการกลั่นไม่เหมาะสม กระทบความเชื่อมั่นการลงทุน ด้านบล.พาย คาดไตรมาส 2 กำไร 1.10 หมื่นล้าน แนะซื้อ ให้ราคามูลค่าพื้นฐาน 71 บาท
นายเบญจพล สุทธิ์วนิช รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย เวลท์ จำกัด ประเมินหุ้นบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP ว่า จากปัจจัยสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครนที่ยืดเยื้อ และกรณีที่สหรัฐฯ แบบนำเข้าน้ำมันจากรัสเซีย จะส่งผลให้ซัพพลายที่ส่งออกน้ำมันไปทั่วโลกหายไป ขณะที่ดีมานด์น้ำมันปรับเพิ่มขึ้น ซึ่งเมื่อจีนเปิดประเทศคาดว่าจะยิ่งทำให้ดีมานด์น้ำมันปรับเพิ่มขึ้นอีก
ดังนั้นในช่วงระยะสั้นหรือระหว่างไตรมาส 2-3/2565 จากปัจจัยที่กล่าวมาข้างต้นจะส่งผลให้กำไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่ม (Market GIM) ของ TOP ปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเฉลี่ยในระดับ 8-9 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากช่วงไตรมาส 1/2565 นั้นค่าการกลั่นอยู่ในระดับ 7.7 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ขณะที่ภาพรวมทั้งปีคาดว่าจะเฉลี่ยในระดับ 10 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล นอกจากนี้ในช่วงไตรมาส 2/2565 คาดว่า TOP จะมีกำไรจากสต๊อกน้ำมัน (Stock Gain) จากราคาน้ำมันที่ยังคงปรับตัวสูงขึ้น
พร้อมกันนี้ นายเบญจพล ยังได้กล่าวถึงประเด็นที่นายกรณ์ จาติกวนิช หัวหน้าพรรคกล้า ให้รัฐบาลแทรกแซงหรือกำหนดเพดานค่าการกลั่น ว่า ตามความเป็นจริงแล้วก็สามารถทำได้ แต่มันจะไม่เหมาะสม เนื่องจากค้าน้ำมันเปิดการเสรีอยู่แล้ว หากมีการแทรกแซงจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นการลงทุน และกระทบต่อการขยายการลงทุนของกลุ่มโรงกลั่น ซึ่งการจะช่วยเหลือประชาชนนั้นรัฐบาลอาจจะไปเจรจากับกลุ่มโรงกลั่นให้ปรับลดราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่นแทน โดยให้ผู้ประกอบการโรงกลั่นแบกรับภาระส่วนลด
ด้านฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) หรือ PI ประเมินหุ้น TOP ในภาพรวมไตรมาส 2/2565 คาดว่าการกลั่นจะยังคงแข็งแกร่งต่อเนื่อง และได้รับปัจจัยหนุนจากราคาน้ำมันเบนซิน น้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานที่เริ่มฟื้นตัวตามเศรษฐกิจโลก และหลายประเทศก็เริ่มเปิดประเทศสามารถเดินทางสะดวกสบายขึ้นหลังจากผ่อนผันมาตรการการเดินทาง
นอกจากนี้ในไตรมาส 2/2565 บริษัทฯ จะรับรู้กำไรจากการขายหุ้น บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC จำนวน 1.10 หมื่นล้านบาท ขณะที่อุปทานใหม่จะยังกดดันส่วนแบ่งจากธุรกิจปิโตรเคมีอย่างต่อเนื่อง แต่นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ยังคงปรับเพิ่มประมาณการกำไรในปี 2565 โดยคาดว่าจะมีกำไรสุทธิ 26,302 ล้านบาท เพื่อสะท้อนภาพรวมที่ดีของธุรกิจโรงกลั่น คงคำแนะนำ “ซื้อ” เพิ่มมูลค่าพื้นฐานขึ้น 6% เป็น 71 บาท เพื่อสะท้อนการปรับประมาณกำไร และภาพรวมธุรกิจโรงกลั่นที่ดีขึ้น