RATCH คาดโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำเซกอง 4A และ 4B ในลาว เซ็นMOU รับซื้อกับกฟผ.เร็วๆนี้

ผู้ชมทั้งหมด 1,335 

“ราช กรุ๊ป” คาดโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำเซกอง 4A และ 4B กำลังการผลิตรวม 355 เมกะวัตต์ ในลาว สามารถลงนามรับซื้อไฟกับกฟผ. ได้เร็วๆนี้ พร้อมเดินหน้าขยายการลงทุนต่อเนื่อง เสริมความแข็งแกร่งธุรกิจ  มุ่งเน้นบริหารจัดการต้นทุนการผลิต ลดผลกระทบจากปัจจัยราคาเชื้อเพลิง ไตรมาสแรก กำไร 1,579 ล้านบาท   

นางสาวชูศรี เกียรติขจรกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในปีนี้ บริษัทฯ มีแผนการลงทุนโครงการใหม่ๆ เพิ่มเติม ล่าสุดโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำเซกอง 4A และ 4B กำลังการผลิตติดตั้งรวม 355 เมกะวัตต์ใน สปป. ลาว ซึ่งที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) อนุมัติอัตราค่าไฟฟ้าของโครงการฯ และคาดว่าจะสามารถลงนามในบันทึกความเข้าใจการรับซื้อไฟฟ้า (Tariff MOU) กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้ในเร็วๆ นี้ โดยโครงการนี้เป็นโรงไฟฟ้าพลังน้ำประเภท Reservoir มีอายุสัญญา 27 ปี ปริมาณเสนอขายไฟฟ้าให้ กฟผ. 347.30 เมกะวัตต์ และมีกำหนดจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบในปี 2576 

ส่วนธุรกิจนอกภาคการผลิตไฟฟ้า บริษัทฯ มีเป้าหมายที่จะเพิ่มการลงทุนในธุรกิจบริการสุขภาพ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาคาดว่าจะสรุปได้ภายในปีนี้

อย่างไรก็ตาม ในปีนี้ บริษัทฯ จะมีโรงไฟฟ้าจำนวน 5 แห่ง กำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้นรวม 1,166.58 เมกะวัตต์ เข้ามาเสริมรายได้ของบริษัทฯ ให้แข็งแกร่ง โดย 2 แห่งได้เดินเครื่องเชิงพาณิชย์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว คือ โรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมเรียว กำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้น 145.15 เมกะวัตต์ ในอินโดนีเซีย เดินเครื่องผลิตไฟฟ้าอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ สร้างรายได้ให้บริษัทฯ แล้ว จำนวน 86.45 ล้านบาท และโรงไฟฟ้าเน็กส์ซิฟ ราช เอ็นเนอร์จี ระยอง กำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้น 45.08 เมกะวัตต์ เดินเครื่องเชิงพาณิชย์อย่างเป็นทางการเมื่อเดือนเมษายน 2565 อีกทั้งบริษัทฯ คาดหวังว่า การลงทุนในโรงไฟฟ้าพลังความร้อนไพตัน ในอินโดนีเซีย หากดำเนินการแล้วเสร็จในเดือนมิถุนายนนี้จะช่วยให้รายได้ของบริษัทฯ แข็งแกร่งยิ่งขึ้น

อย่างไรก็ตาม การดำเนินงานด้านการลงทุนในช่วงที่ผ่านมาสามารถขับเคลื่อนเดินหน้าได้ตามแผนงาน ส่วนการบริหารสินทรัพย์ โดยเฉพาะโรงไฟฟ้าที่เดินเครื่องเชิงพาณิชย์ ได้ให้ความสำคัญกับการบริหารความเสี่ยงต้นทุนการผลิต ซึ่งได้รับผลกระทบจากการปรับตัวสูงขึ้นของราคาเชื้อเพลิง โดยมีการกำกับติดตามอย่างใกล้ชิด จนปัจจุบันโรงไฟฟ้าต่างๆ สามารถลดและจำกัดผลกระทบในระดับที่ยอมรับได้ และยังรักษาอัตรากำไรไว้ได้ นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังเตรียมที่จะดำเนินการระดมทุนเพิ่มอีก 25,000 ล้านบาท เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2565 บริษัทฯ ได้กำหนดจำนวนหุ้นที่เสนอขายสุดท้าย 725,000,000 หุ้น ราคาเสนอขายต่อหุ้นสุดท้าย 34.48 บาท และอัตราส่วนการเสนอขายหุ้นสุดท้าย 2 หุ้นเดิม ต่อ 1 หุ้นสามัญใหม่ กำหนดระยะเวลาจองซื้อหุ้นตั้งแต่วันที่ 6-10 มิถุนายนนี้ โดยเงินทุนที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้ บริษัทฯ จะนำไปใช้รองรับการขยายการลงทุนในธุรกิจผลิตไฟฟ้าที่วางแผนไว้ปีละ 700   เมกะวัตต์ และธุรกิจนอกการผลิตไฟฟ้าปีละประมาณ 2,000 ล้านบาทรวมทั้งนำไปใช้ปรับโครงสร้างเงินทุน เพื่อเพิ่มสภาพคล่องทางการเงินด้วย 

ปัจจุบัน บริษัทฯ รับรู้กำลังการผลิตตามการถือหุ้นรวม 9,203.77 เมกะวัตต์ ในจำนวนนี้ร้อยละ 59 (5,425.55          เมกะวัตต์) เป็นกำลังการผลิตภายในประเทศไทย และร้อยละ 41 (3,778.22 เมกะวัตต์) เป็นกำลังการผลิตในต่างประเทศ สำหรับกำลังการผลิตจำแนกตามประเภทเชื้อเพลิง ประกอบด้วย เชื้อเพลิงประเภทฟอสซิล 7,844.03 เมกะวัตต์ และเชื้อเพลิงพลังงานทดแทน 1,359.74 เมกะวัตต์ 

สำหรับโรงไฟฟ้าที่กำหนดเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ในปีนี้ ประกอบด้วย โรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมเรียว อินโดนีเซีย กำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้น 145.15 เมกะวัตต์ โรงไฟฟ้าผู้ผลิตรายเล็กเน็กส์ซิฟ ราช เอ็นเนอร์จี ระยอง 45.08 เมกะวัตต์ โรงไฟฟ้าพลังงานลมอีโค่วิน เวียดนาม 15.16 เมกะวัตต์ โรงไฟฟ้าราชโคเจนเนอเรชั่นส่วนขยาย 31.19 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าพลังความร้อนไพตัน อินโดนีเซีย 930 เมกะวัตต์ 

ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานไตรมาสแรก ปี 2565 บริษัทฯ มีรายได้รวม จำนวน 18,249.67 ล้านบาท ต้นทุนและค่าใช้จ่ายรวมจำนวน 17,298.34 ล้านบาท และกำไรส่วนของบริษัท 1,579.36 ล้านบาท  

ด้านฐานะการเงินของบริษัทฯ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2565 มีสินทรัพย์รวมจำนวน 155,216.69 ล้านบาท หนี้สินรวมจำนวน74,431.37 ล้านบาท และส่วนของผู้ถือหุ้นจำนวน 80,785.32 ล้านบาท ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังมีศักยภาพทางการเงินที่แข็งแกร่งสะท้อนจากอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุน 0.61 เท่า และอัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้นร้อยละ 10.00