RP ผู้ถือหุ้นเชื่อมั่นธุรกิจ! ย้ำปี 65 เน้นขยายธุรกิจใหม่ เพิ่มช่องทางรายได้

ผู้ชมทั้งหมด 882 

RP ผู้ถือหุ้นเห็นชอบแผนดำเนินธุรกิจ เผยแนวโน้มธุรกิจปี 65 คืบหน้าโครงการก่อสร้างท่าเทียบเรือพะลวย พร้อมขยายโอกาสทางธุรกิจเพิ่มช่องทางรายได้ใหม่ ทดแทนพึงการท่องเที่ยวเป็นหลัก

นายอภิชาติ ชโยภาส กรรมการผู้จัดการ บริษัท ท่าเรือราชาเฟอร์รี่ จำกัด (มหาชน) หรือ RP เปิดเผยว่า บริษัทฯ จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2565 เมื่อวันที่ 28 เมษายน ที่ผ่านมา โดยที่ประชุมผู้ถือหุ้นผ่านการอนุมัติทุกวาระตามมติที่คณะกรรมการเสนอ  พร้อมกางแผนธุรกิจปี 2565 มุ่งเน้นการบริหารที่มีประสิทธิภาพ ขยายโอกาสทางธุรกิจ และเพิ่มช่องทางรายได้ เพื่อทดแทนรายได้จากการท่องเที่ยวที่หายไป เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด19 

สำหรับแผนดำเนินธุรกิจในปี 2565 ยังคงเน้นที่โครงการก่อสร้างท่าเทียบเรือเกาะพะลวย ซึ่งคืบหน้าไปได้ระดับหนึ่งแล้ว ขณะเดียวกันก็มองหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ และธุรกิจต่อเนื่องมาต่อยอด เช่น การท่องเที่ยวหมู่เกาะ การก่อสร้างบนเกาะ และการรับส่งสินค้า รวมไปถึงอยู่ระหว่างการศึกษาทำคลังสินค้ากลาง เพื่อเป็นตัวกลางในการรับฝากสินค้าและกระจายสินค้าบนเกาะสมุยและเกาะพะงัน รวมถึงทดลองปลูกต้นกระท่อมในพื้นที่ภาคกลาง เพื่อนำร่องรองรับการแปรรูป เพื่อเป็นอีกช่องทางสร้างรายได้ในอนาคต

ขณะเดียวกันก็จับมือกับพันธมิตรในกลุ่มธุรกิจเดินรถโดยสารรายใหญ่ในพื้นที่ภาคใต้ เพื่อเชื่อมการท่องเที่ยว 2 ฝั่งทะเลใต้ คือทะเลอ่าวไทยและทะเลอันดามัน เพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวและการเดินทางในเส้นทางเกาะสมุย/เกาะพะงัน-กระบี่และภูเก็ตให้มากขึ้น

“ขอให้ทุกท่านเชื่อมั่นในแผนธุรกิจปี 2565 โดยเฉพาะการก่อสร้างท่าเทียบเรือพะลวย เพราะมีโมเดลเหมือนกับเกาะพีพีสมัยก่อน เพราะเป็นเกาะใหญ่ที่อยู่ใกล้อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะอ่างทอง และยังเป็นเกาะที่มีธรรมชาติ มีจุดขายของตัวเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่นักท่องเที่ยวต่างชาติแสวงหา นักท่องเที่ยวไทยก็เริ่มรู้จักเกาะพะลวยมากขึ้น บริษัทจึงมองเห็นอนาคตที่จะเป็นจุดขายเหมือนกับเกาะพะงันที่มีฟูลมูน ที่เป็นหนึ่งเดียวในโลกเช่นกัน และเราเริ่มเห็นสัญญาณบวกที่ดีจากช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา ที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาเที่ยวเกาะพะงันมากกว่าที่คาดกันไว้มาก” นายอภิชาติกล่าว

อย่างไรก็ดี บริษัทไม่ได้หยุดนิ่งในการหาช่องทางรายได้เพิ่ม แต่ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับความชัดเจนของนโยบายรัฐด้วยโดยเฉพาะเรื่องการเปิดประเทศรับการท่องเที่ยวว่าจะไปทิศทางเดียวกันหรือไม่