ที่ประชุมผู้ถือหุ้น OR ไฟเขียวจ่ายปันผล อัตรา 0.19 บ.ต่อหุ้น วันที่ 28 เม.ย.นี้

ผู้ชมทั้งหมด 1,250 

ที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ประจำปี 2565 ของ OR เห็นชอบจ่ายเงินปันผลที่อัตรา 0.19 บาทต่อหุ้น รวมจำนวน 2,280,000,000 บาท กำหนดจ่ายเงินวันที่ 28 เม.ย.นี้ ด้าน “จิราพร” ยันเร่งขยายปั๊มชาร์จไฟฟ้าแตะ 450 แห่งในปีนี้ หนุนใช้พลังงานสะอาด เล็งหาพันธมิตรท้องถิ่นร่วมลงทุนต่อยอดขยายธุรกิจ  

นางสาวจิราพร ขาวสวัสดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR เปิดเผยในการประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ประจำปี 2565 ของ OR เมื่อวันที่ 7 เม.ย.2565 ว่า ที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ประจำปี 2565 ได้พิจารณาการจ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทครึ่งหลังของปี 2564 (ระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคม 2564 –31ธันวาคม 2564) โดยมีมติเห็นชอบให้จ่ายเงินปันผลที่อัตรา 0.19 บาทต่อหุ้น สำหรับสามัญของบริษัทจำนวน 12,000,000,000 หุ้น รวมจำนวน 2,280,000,000 บาท ซึ่งกำหนดวันจ่ายเงินปันผลในวันที่ 28 เม.ย.2565 โดยจะจ่ายจากกำไรสะสมของบริษัทที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตรา 20% ทั้งนี้ ผู้ถือหุ้นที่เป็นบุคคลธรรมดาสามารถขอเครดิตภาษี จากการจ่ายเงินปันผลประจ าปีดังกล่าวได้ตามมาตรา 47 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร โดยบริษัทจะจ่าย เงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นของบริษัทเมื่อได้รับอนุมัติจากที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2565 แล้ว

ส่วนสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบตลาดโลกที่ผันผวนและปรับสูงขึ้นนั้น OR ได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยราคาน้ำมันดิบปรับสูงขึ้นตั้งแต่เดือนส.ค.2564 เป็นต้นมา จากนโยบายคงกำลังการผลิตน้ำมันของกลุ่มโอเปก ซึ่ง OR ได้บริหารจัดการห่วงโซอุปทานอย่างใกล้ชิดเพื่อให้น้ำมันเพียงพอกับความต้องการใช้ในทุกภาคส่วน สอดรับกับพันธกิจในการสร้างธุรกิจน้ำมันแบบผสมผสานเปิดกว้างพลังงานแบบไร้รอยต่อ มุ่งเน้นพลังงานสะอาด ซึ่งที่ผ่านมาได้เดินหน้าขยายสถานี “EV Station” และมีการจัดทำแอพพลิเคชั่น “EV Station PluZ” ขยายการติดตั้งโซลาร์ฯ และการใช้บริการก๊าซธรรมชาติเหลว(LNG) ที่เป็นพลังงานสะอาด ตอบโจทย์ความต้องของลูกค้าและผู้ใช้บริการ

นอกจากนี้ สถานบริการน้ำมัน PTT Station จะไม่ใช่แค่ตอบโจทย์การใช้น้ำมัน แต่จะทำเป็นแพลตฟอร์มเชื่อมโยงธุรกิจ กลุ่มธุรกิจ Mobility และกลุ่มธุรกิจ Lifestyle OR  จัดทำเป็น Inclusive Growth Platform เพื่อรองรับการเติบโตร่วมกับพันธมิตร ซึ่งจะเป็นธุรกิจใดก็ตามที่ OR สามารถเข้าไปสนับสนุนทั้งธุรกิจขนาดเล็ก ธุรกิจขนาดกลาง หรือธุรกิจที่ต้องการการสนับสนุน ตามการพัฒนาโมเดล “OR Inclusive Partnership” ซึ่งจะเห็นว่าในช่วงปีที่ผ่านมา OR ได้เปิดรับการลงทุนจากพันธมิตรที่หลากหลายเพื่อจะเติบโตร่วมกันอย่างยั่งยืน

รวมทั้ง OR ยังดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงการสร้างสิ่งแวดล้อมที่อุดมสมบูรณ์ ซึ่งได้ตั้งเป้าหมายที่จะบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon-Neutrality) ภายในปี 2030 และบรรลุการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Carbon) ภายในปี 2050 ตามการกำหนดวิสัยทัศน์ใหม่ “เติมเต็มโอกาส เพื่อทุกการเติบโต ร่วมกัน” หรือ “Empowering All Toward Inclusive Growth” ซึ่งจะเป็นทิศทางในการดำเนินธุรกิจของ OR รวมทั้งตั้งเป้าหมายในปี 2030 หรือ OR 2030 Goals ใน 3 ด้าน

โดยในส่วนของสถานีบริการน้ำมัน PTT Station จะเร่งขยายติดตั้งสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า (EV Charging Station) ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ 100 แห่ง และในปี 2565 จะขยายเพิ่มเป็น 450 แห่งครอบคลุมทั่วประเทศ เพื่อให้ตอบโจทย์การเคลื่อนที่แบบไร้รอยต่อ

นางสาวจิราพร กล่าวอีกว่าการเติบโตของ OR นับจากนี้ไปจะเน้นโมเดล Outside-In Growth ซึ่งจะเห็นได้ว่า มีการเปิดรับการร่วมลงทุนกับทุกขนาดและทุกรายที่มีลักษณะของธุรกิจสอดคล้องกับ Ecosystem ของ OR ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยแนวคิดนี้จะทำให้เกิดการเติบโตร่วมกันทั้ง OR และพาร์ทเนอร์ในปัจจุบัน และสำหรับที่ OR แสวงหาจะเป็นพลังงานสะอาด ไลฟ์สไตล์ และดิจิทัล อีกทั้งด้านต่างประเทศ OR มีธุระกรรมอยู่ 10 ประเทศ และมุ่งเน้นที่จะขยายธุรกิจในลักษณะการหาพันธมิตรท้องถิ่นทั้งในประเทศใหม่ที่จะขยายเพิ่ม หรือ ในประเทศที่มีบริษัทย่อย และบริษัทร่วมลงทุนอยู่แล้ว ซึ่งจะเป็นการใช้จุดแข็งต่อยอดต่อไป

อีกทั้ง OR ยังอยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้ในการใช้สกุลเงินดิจิทัลเข้ามารองรับการทำธุระกรรม โดยดูให้สอดคล้องกับหลักกฎหมายทั้งกฎหมายภาครัฐ อย่างธนาคารแห่งประเทศ และกฎหมายอื่นๆที่เกี่ยวข้อง

ด้านนายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานกรรมการ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR กล่าวว่า ล่าสุด กลุ่มโอเปก มีมติปรับเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมัน แตะ 432,000 บาร์เรลต่อวัน ตั้งแต่ พ.ค.- ก.ย.2565 ซึ่งจะทำให้มีซัพพลายเข้าสู่ตลาดมากขึ้น จากที่ผ่านมาคงอัตราการผลิตเพิ่มอยู่แค่ 400,000 บาร์เรลต่อวัน แต่อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครน เพราะจะมีผลต่อการผันผวนของราคาน้ำมันดิบ