OR จับตาสงคราม “รัสเซีย-ยูเครน” หวั่นฉุดกำลังซื้อผู้บริโภค

ผู้ชมทั้งหมด 1,037 

โออาร์ เกาะติดผลกระทบสงคราม “รัสเซีย-ยูเครน” ดันราคาน้ำมันดิบพุ่ง พร้อมให้ความร่วมมือรัฐชะลอปรับราคาขายปลีกดีเซล ยันยังสามารถรักษาอัตราทำกำไรธุรกิจ Mobility ได้ ขณะที่อัตราเงินเฟ้อขาขึ้นห่วงฉุดกำลังซื้อธุรกิจ Lifestyle รับต้นทุนเมล็ดกาแฟเพิ่มแต่ยังทำมาร์จิ้นได้

นางสาวปิติรัตน์ รัตน์โชติ ผู้จัดการฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด(มหาชน) หรือ OR เปิดเผยในงานOppday Year End 2021 บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) OR เมื่อวันที่ 28 มี.ค.2565 โดยระบุว่า สงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน ส่งผลกระทบให้ราคาน้ำมันดิบปรับสูงขึ้น ซึ่งในส่วนธุรกิจน้ำมันของOR เป็นลักษณะกำหนดราคาตามต้นทุน (Cost-plus) ทำให้ราคาน้ำมันที่สูงขึ้นมีผลต่อ OR ไม่มากนัก แต่รัฐบาลได้ออกมาขอความร่วมมือให้ช่วยชะลอการปรับราคาน้ำมันโดยเฉพาะดีเซล ซึ่ง OR ก็พิจารณาในแง่การปรับราคา ดูต้นทุนและดูในส่วนของค่าการตลาด (Marketing Margin) ฉะนั้น การชะลอปรับราคาก็อาจทำให้ค่าการตลาด (Marketing Margin) อ่อนลงไปเล็กน้อย แต่ยังสามารถรักษาอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยภาษีและค่าเสื่อมราคา (EBITDA Margin) ได้พอสมควร

อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้น ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น ส่งผลกระทบต่อต้นทุนสินค้า เช่น ราคาอาหารปรับสูงขึ้น ก็จะมีผลต่อกำลังซื้อของประชาชน และกดดันต่อ ธุรกิจ Lifestyle ของ OR เพราะอำนาจกำลังซื้อของประชาชนลดลง อีกทั้งต้นทุนของOR ก็อาจจะต้องปรับเพิ่มขึ้น ซึ่งเรื่องนี้ OR อยู่ระหว่างติดตามอย่างใกล้ชิดเพื่อพิจารณาว่าจะต้องปรับส่วนไหนอย่างไรเพื่อรับมือต่อสถานการณ์ผลกระทบจากสงครามดังกล่าว

ส่วนต้นทุนราคาเมล็ดกาแฟนั้น ในส่วนของ OR ใช้วัตถุดิบจากในประเทศ 100% และในแต่ละปีละจะจัดซื้อในรูปแบบการเปิดประมูล 3-4  ครั้ง ซึ่งปัจจุบันต้นทุนเมล็ดกาแฟตลาดโลกปรับสูงขึ้นแต่ราคาในประเทศยังไม่ได้แปรผันตามต้นทุนต่างประเทศทั้งหมด และในส่วนธุรกิจของ OR หากดูจากอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยภาษีและค่าเสื่อมราคา (EBITDA Margin) ก็ยังอยู่ในระดับที่สามารถคงราคาผลิตภัณฑ์ได้เหมือนเดิม แต่ก็ยังต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดต่อเนื่องไปก่อน    

สำหรับแผนธุรกิจของ OR ในปี 2565 ตั้งเป้าหมายจะเปิดปั๊มน้ำมัน พีทีที สเตชั่น อีก 129 สาขา และ EV station Pluz อีก 200 แห่งในปั๊มพีทีที สเตชั่น และนอกปั๊ม อีก 150 แห่ง ขณะที่ร้านคาเฟ่ อเมซอน เปิดเพิ่ม 389 แห่ง และร้านเท็กซัส ชิคเก้น อีก 20 แห่ง ส่วนต่างประเทศ ปีนี้ จะเปิดปั๊มฯ อีก 73 แห่ง และร้านคาเฟ่ อเมซอน เปิดเพิ่ม 129 แห่ง จากสิ้นปี 2564 OR มีปั๊มฯ อยู่ที่ 2,439 แห่ง แบ่งเป็นในประเทศ 2,080 แห่ง ต่างประเทศ 359 แห่ง และร้านคาเฟ่ อเมซอน อยู่ที่ 3,931 แห่ง แบ่งเป็นในประเทศ 3,607 แห่ง และต่างประเทศ 324 แห่ง

สมมติฐานราคาน้ำมันดิบในปีนี้ กลุ่ม ปตท.มองว่า จะอยู่ที่ระดับ 107 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล สูงกว่าปี 2564 ราคาน้ำมันดิบ อยู่ที่ 69 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และปีนี้ OR ตั้งงบลงทุนอยู่ที่ 93,500 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่ 36.3% ยังอยู่ในธุรกิจ Mobility”

ทั้งนี้ แนวโน้มผลการดำเนินงานปี 2565 จะมีปัจจัยสนับสนุนจากการเปิดประเทศทั่วในระดับนอกประเทศและในประเทศ แม้ว่าโควิด-19 จะยังมีอยู่แต่ก็สามารถบริหารจัดการได้ดีขึ้นจากการที่ประชาชนได้รับวัคซีนเพิ่มขึ้น ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจปีนี้ จะเติบโตขึ้นจากปีก่อน โดยสศช.คาดว่า GDP ปี2565 จะอยู่ที่ 3.5-4.5% ซึ่งจะหนุนความต้องการของผู้บริโภค แต่ในส่วนของอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นโดยธนาคารแห่งประเทศไทยประเมินว่าจะอยู่ในระดับ 1-3% ทั้งปีนี้ ก็ยังเป็นปัจจัยที่กดดันกำลังซื้อเช่นกัน