ผู้ชมทั้งหมด 1,350
“บ้านปู เพาเวอร์” จัดงบปี2565 วงเงิน 700 ล้านดอลลาร์ฯ ขยายลงทุนธุรกิจโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่และพลังงานหมุนเวียน หนุนกำลังผลิตรวมแตะ 5,300 เมกะวัตต์ในปี68 ขณะที่ไตรมาส 1 ปี65 คาดรายได้เติบโตก้าวกระโดด จาก 3 โรงไฟฟ้าในจีนหนุน พร้อมรับรู้รายได้ โครงการ Temple I ในสหรัฐฯ เต็มไตรมาส
นายกิรณ ลิมปพยอม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัท ตั้งงบลงทุนในปี 2565 วงเงินอยู่ที่ 700 ล้านดอลลาร์ฯ โดยแบ่งเป็นการลงทุนขยายกำลังการผลิตไฟฟ้าสำหรับโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ อยู่ที่ 300 ล้านดอลลาร์ฯ และขยายการลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน อีก 400 ล้านดอลลาร์ เพื่อเร่งเดินหน้าสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องให้บรรลุเป้าหมายกำลังผลิต 5,300 เมกะวัตต์ ในอีก 4 ปีข้างหน้าหรือ ภายในปี 2568 จากปัจจุบันมีกำลังผลิตไฟฟ้า อยู่ที่ 3,242 เมกะวัตต์
โดยเน้นการขยายกำลังผลิตไฟฟ้าที่มีคุณภาพ (Quality Megawatt) ที่สร้างผลตอบแทนที่ดี และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้นตามกลยุทธ์ Greener & Smarter, มุ่งสร้างการเติบโตในธุรกิจพลังงานหมุนเวียนและเทคโนโลยีพลังงานผ่านการลงทุนในบ้านปู เน็กซ์ โดยลงทุนในประเทศที่มีการเติบโตสูงอย่างต่อเนื่อง เช่น เวียดนาม โดยนอกจากการเข้าไปลงทุนในโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลมแล้ว ล่าสุดยังได้ลงทุนในธุรกิจโซลาร์รูฟท็อป โดยได้ลงนามในสัญญาจองซื้อหุ้นในอัตรา 49.04% ของ Solar Esco Joint Stock Company ซึ่งเป็นบริษัทพลังงานหมุนเวียนชั้นนำของเวียดนามที่ให้บริการแพลตฟอร์มโซลาร์รูฟท็อปแบบครบวงจร
พร้อมมองหาโอกาสการลงทุนใหม่ๆ ในโรงไฟฟ้า HELE ในประเทศที่มีศักยภาพ รวมทั้งเดินหน้าการขยายธุรกิจในสหรัฐอเมริกาจากระบบนิเวศของกลุ่มบ้านปู (Banpu Ecosystem) หาโอกาสการลงทุนตลอดห่วงโซ่คุณค่าพลังงาน โดยให้ความสำคัญกับการลงทุนในโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนและการซื้อขายไฟฟ้าในตลาดเสรี (Energy Trading) พร้อมศึกษาการผสานห่วงโซ่อุปทานในการนำก๊าซธรรมชาติจากแหล่งบาร์เนตต์ (Barnett) ของบ้านปูมาใช้ในโรงไฟฟ้า Temple I เพื่อประโยชน์ในการควบคุมต้นทุนและเพิ่มกำไรจากการดำเนินงาน
ส่วนแนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 1 ของปีนี้ บริษัท คาดว่าในส่วนของรายได้จะเติบโตก้าวกระโดด จากโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วม (Combined Heat and Power: CHP) ทั้ง 3 แห่งในจีน สามารถสร้างรายได้จากปริมาณการขายไอน้ำที่เพิ่มขึ้น รองรับความต้องการของลูกค้าภาคอุตสาหกรรมและครัวเรือนได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งมีการปรับทางเทคนิคซึ่งจะช่วยหนุนรายได้ รวมถึงยังรับรู้รายได้เต็มไตรมาส จากการเข้าไปลงทุนในโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ Temple I ขนาดกำลังการผลิต 768 เมกะวัตต์ ในรัฐเท็กซัส ประเทศสหรัฐอเมริกา มูลค่าการลงทุน 430 ล้านดอลลาร์ฯ หรือเทียบเท่าประมาณ 14,298 ล้านบาท ที่เริ่มรับรู้รายได้จากการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.2564 ที่ผ่านมา
สำหรับสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครนนั้น ในแง่ของราคาน้ำมันที่ปารับสูงขึ้นไม่ได้มีผลกระทบต่อบริษัทโดยตรง และอาจมีสะท้อนผ่านต้นทุนค่าแรงของผู้รับเหมาก่อสร้างโครงการ ขณะที่โรงไฟฟ้าหลักของบริษัท คือ โรงไฟฟ้าบีแอลซีพี (BLCP) และโรงไฟฟ้า ในลาว ที่เป็นเชื้อเพลิงถ่านหิน ยังไม่ได้รับผลกระทบมีการจ่ายไฟฟ้าเต็มประสิทธิภาพ และโรงไฟฟ้าบีแอลซีพี ยังมีสัญญาระยะยาวกับภาครัฐที่สามารถส่งผ่านต้นทุนที่เพิ่มขึ้นได้ แต่โรงไฟฟ้าถ่านหินในจีน อาจได้รับผลกระทบระยะสั้นประมาณ 1-2 เดือนจากระดับราคาถ่านหินที่ปรับสูงขึ้น แต่เชื่อมั่นว่า ด้วยนโยบายควบคุมราคาถ่านหินของรัฐบาลจีนจะสามารถกดราคาลงมาได้
นายกิรณ กล่าวอีกว่า สำหรับผลการดำเนินงานประจำปี 2564 บริษัท มีรายได้ 6,784 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยมีกำไรก่อนหักภาษี ดอกเบี้ย ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) 3,487 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 3,127 ล้านบาท ปีที่ผ่านมา BPP สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ สร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และรักษาเสถียรภาพในการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าทุกแห่ง โดยโรงไฟฟ้าเอชพีซี (HPC) ใน สปป.ลาว และโรงไฟฟ้าบีแอลซีพี (BLCP) ในไทย มีค่าความพร้อมจ่าย (Equivalent Availability Factor: EAF) สูงถึง 85% และ 91% ตามลำดับ
ขณะที่โรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วม (Combined Heat and Power: CHP) ทั้ง 3 แห่งในจีน สามารถสร้างรายได้จากปริมาณการขายไอน้ำที่เพิ่มขึ้น รองรับความต้องการของลูกค้าภาคอุตสาหกรรมและครัวเรือนได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังรับรู้ผลกำไรจากโรงไฟฟ้านาโกโซ (Nakoso IGCC) ในญี่ปุ่น และโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ Temple I ในสหรัฐอเมริกา
ทั้งนี้ คณะกรรมการบริษัทมีมติพิจารณาอนุมัติการจ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานงวดวันที่ 1 มกราคม – 31 ธันวาคม 2564 ในอัตราหุ้นละ 0.65 บาท โดยกําหนดจ่ายเงินปันผลคงเหลือในงวดนี้อีกหุ้นละ 0.35 บาทในวันที่ 27 เมษายน 2565 และกําหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นเพื่อสิทธิในการรับเงินปันผล (Record Date) ในวันที่ 11 เมษายน 2565