อ่วม! ผู้ใช้รถเบนซิน “พลังงาน” เล็งเก็บสำรองน้ำมันเพิ่ม1%

ผู้ชมทั้งหมด 812 

“พลังงาน” ยันตรึงดีเซล 30 บาทต่อลิตร สุดกำลังกรอบเงินกู้ 4 หมื่นล้านบาท คาดดูแลได้ถึง พ.ค.นี้ ขณะที่ 1 เม.ย.นี้ ขึ้นราคา LPG อีก 15 บาทต่อถัง 15 กก. ลั่นพยายามปรับขึ้นค่า FT งวด(พ.ค.-ส.ค.) ไม่เกิน 16.71 สตางค์ต่อหน่วย เล็งอุ้มราคาเบนซินช่วยกลุ่มมอเตอร์ไซค์ที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จ่อปรับเพิ่มเก็บสำรองดิบและสำเร็จรูป อีก 1% คาดส่งผ่านต้นทุนน้ำมันขยับ 60 สตางค์ต่อลิตร

นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ได้ส่งผลกระทบให้ราคาพลังงานโลกสูงขึ้นทุกชนิด ส่งผลต่อราคาขายปลีกในประเทศไม่ว่าจะเป็นน้ำมันสำเร็จรูปอย่างเบนซินและดีเซล โดยเฉพาะราคาน้ำมันขึ้นที่สุดในรอบ 14 ปี ซึ่งส่งผลกระทบไปทั่วโลก

กระทรวงพลังงาน ได้ติดตามสถานการณ์พลังงานอย่างใกล้ชิดเพื่อบริหารจัดการพลังงานในช่วงของสถานการณ์รัสเซีย-ยูเครน และในช่วงเปลี่ยนผ่านด้านการจัดหาพลังงานเพื่อให้เกิดความต่อเนื่อง และลดผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นต่อประชาชนนอกจากนี้ ได้เตรียมพร้อมศูนย์กลางสั่งการด้านพลังงานประจำกระทรวงพลังงานเพื่อใช้เป็นศูนย์ติดตามสถานการณ์อีกด้วย โดยเฉพาะการเตรียมการด้านการสำรองพลังงานให้พร้อมรับต่อทุกสถานการณ์

“กระทรวงพลังงาน ยืนยันจะตรึงราคาดีเซล ไม่เกิน 30 บาทต่อลิตร ไปจนกว่าจะเต็มกรอบวงเงินกู้ 4 หมื่นล้านบาท หรือคาดว่าจะดูแลได้ถึงสิ้นเดือน พ.ค.นี้ หากราคาน้ำมันดิบไม่เกิน 115 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขณะที่ LPG มีความจำเป็นที่ภาครัฐต้องปรับขึ้นราคาตามขั้นบันไดที่เคยประเมินไว้ คือ หลัง 31 มี.ค.นี้ จะปรับเพิ่ม 1 บาทต่อกิโกลกรัม หรือ 15 บาทต่อถัง จากเดิมตรึงอยู่ที่ 318 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 333 บาทต่อกิโลกรัม”

นอกจากนี้ ในส่วนของค่าไฟฟ้า ยอมรับว่าต้อนทุนราคาก๊าซธรรมชาติ โดยเฉพาะ LPG ปรับสูงขึ้นมาก แม้ว่าจะหันมาใช้น้ำมันผลิตไฟฟ้ามากขึ้น แต่ก็ยังทำให้ต้นทุนรวมปรับสูงขึ้น ซึ่งยอมรับว่า ค่าFt งวดใหม่(พ.ค.-ส.ค.2565) จำเป็นต้องปรับขึ้นค่า Ft ตามกรอบที่คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน(กกพ.) เคยประเมินไว้ ราว 16.71 สตางค์ต่อหน่วย

อย่างไรก็ตาม เบื้องต้นได้มอบหมายให้ กกพ.ไปพิจารณามาตรการช่วยเหลือค่าไฟฟ้า ให้กับประชาชนในงวดใหม่นี้ เช่น หากใช้ไฟฟ้า ไม่เกิน 300 หน่วย ให้เสียค่าไฟในอัตราค่า Ft เท่ากับงวดม.ค.-เม.ย.2565 เป็นต้น

นายกุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า สถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากความตึงเครียดวิกฤตรัสเซีย-ยูเครน ทำให้ตลาดกังวลต่ออุปทานน้ำมันในตลาดโลก จากการคว่ำบาตรธุรกรรมทางการเงิน และบริษัทพลังงานหลายแห่งระงับการลงทุนในรัสเซีย ประกอบกับกลุ่มโอเปกพลัสที่ยังคงเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันเพียง 400,000 บาร์เรล/วัน ในแต่ละเดือน ซึ่งหากสถานการณ์ยังคงตึงเครียดต่อไปอาจทำให้เดือนเมษายนนี้ราคาน้ำมันดิบดูไบเกิน 120 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล น้ำมันดีเซล 150 – 170 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล อย่างไรก็ดี ความคืบหน้าในการเจรจาข้อตกลงนิวเคลียร์ของอิหร่าน-สหรัฐฯ อาจนำไปสู่กำลังการผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้นกว่า 1 ล้านบาร์เรล/วัน รวมถึงการปล่อยน้ำมันสำรองของ IEA ก็สามารถบรรเทาความตึงตัวของตลาดได้บางส่วน

ขณะที่สถานการณ์ราคา LPG ตลาดโลกก็ปรับเพิ่มขึ้นทิศทางเดียวกับราคาน้ำมัน โดยราคาอยู่ที่ 968 เหรียญสหรัฐ/ตัน เช่นเดียวกันกับราคาก๊าซธรรมชาติก็เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เพราะอุปทานจากรัสเซียที่ไม่แน่นอนจากมาตการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ ที่ครอบคลุมทั้งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ และสหภาพยุโรปก็อยู่ระหว่างพิจารณาลดการพึ่งพานำเข้าก๊าซฯ จากรัสเซีย

“ภาครัฐยังคงช่วยเหลือกลุ่มผู้มีรายได้น้อย ใช้LPG ผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จากเดิมกระทรวงการคลังช่วย 45 บาทต่อ 3เดือน จะเพิ่มให้อีก 55 บาท ซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างจัดหางบประมาณมาดูแล”

นอกจากนี้ กระทรวงพลังงาน ยังเตรียมช่วยเหลือกลุ่มผู้ใช้รถมอเตอร์ไซค์ที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ให้ใช้น้ำมันเบนซินในราคาที่ถูกลง โดยอยู่ระหว่างพิจารณาจำนวนของผู้ที่จะได้รับสิทธิ ซึ่งจากข้อมูลการจดทะเบียนกับกรมขนส่งทางบก  21 ล้านคัน และมีผู้ถือบัตรสวัสดิการฯ อยู่ที่ 13.5 ล้านคน โดยหากสรุปตัวเลขจำนวนผู้ได้รับสิทธิ ก็จะกำหนดรูปแบบช่วยเหลือที่ชัดเจนต่อไป”

นายวัฒนพงษ์ คุโรวาท ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กล่าวว่า การบริหารจัดการสถานการณ์ฉุกเฉินด้านราคาน้ำมัน กระทรวงพลังงานได้วางแนวทางการบริหารจัดการในแต่สถานการณ์ราคา ตั้งแต่ราคาน้ำมันดิบดูไบที่ 100 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลไปจนถึง 150 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่งมีรูปแบบการบริหารจัดการที่แตกต่างกัน โดยกระทรวงพลังงานจะมีแนวทางเพื่อบรรเทาผลกระทบกับประชาชนให้มากที่สุดในแต่ละกรณี

นางสาวนันธิกา ทังสุพานิช อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน กล่าวว่า ประเทศไทยได้เริ่มกระจายแหล่งการนำเข้าน้ำมันดิบจากตะวันออกกลางให้มีความหลากหลายตั้งแต่ปี 2557 (จากร้อยละ 70 ลดลงเป็นร้อยละ 57) เพื่อลดความเสี่ยงของการจัดหาน้ำมันดิบ สำหรับสถานการณ์การจัดหาน้ำมันดิบในขณะนี้ กรมธุรกิจพลังงานได้ประสานงานกับกลุ่มอุตสาหกรรมโรงกลั่นน้ำมันปิโตรเลียมอย่างใกล้ชิด ทุกรายได้แจ้งยืนยันว่ายังคงสามารถจัดหาน้ำมันดิบได้ตามสัญญาซื้อขายล่วงหน้า 2 เดือน สำหรับความต้องการใช้น้ำมันดิบเฉลี่ยอยู่ที่ 123.25 ล้านลิตร/วัน และน้ำมันสำเร็จรูปเฉลี่ยอยู่ที่ 119.88 ล้านลิตร/วัน

ปัจจุบันมีปริมาณน้ำมันดิบคงเหลือ (รวมที่อยู่ระหว่างการขนส่ง) อยู่ที่ 5,686.44 ล้านลิตร และมีปริมาณน้ำมันสำเร็จรูปคงเหลืออยู่ที่ 1,703.61 ล้านลิตร ซึ่งเพียงพอต่อความต้องการใช้น้ำมันของประเทศได้ถึง 61 วัน นอกจากนี้ บมจ.ปตท. ยังมีมาตรการเตรียมพร้อมจัดหาน้ำมันดิบเพิ่มเติมอีก 635.94 ล้านลิตร (4 ล้านบาร์เรล) จะช่วยเพิ่มปริมาณน้ำมันสำรองเป็น 66 วัน ส่งผลให้ประเทศมีน้ำมันใช้เพียงพอไม่ขาดแคลน

อย่างไรก็ตาม เพื่อสร้างความมั่นใจกับประชาชนกรณีหากสถานการณ์รัสเซีย-ยูเครนมีความยืดเยื้อและมีเหตุฉุกเฉินที่ส่งสัญญาณว่าอาจจะกระทบกับแผนการจัดหาน้ำมันดิบของประเทศ กรมธุรกิจพลังงานได้เตรียมมาตรการรองรับเหตุวิกฤต Supply Disruption ตลอดจนได้รับมอบหมายให้ประสานผู้ค้าน้ำมันเตรียมประกาศเพิ่มอัตราสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงตามกฎหมาย น้ำมันดิบเป็น 5% และน้ำมันสำเร็จรูปเป็น 2% ตามลำดับ จากปัจจุบันอัตราสำรองน้ำมันดิบ% 4 และน้ำมันสำเร็จรูป 1% ซึ่งจะช่วยให้มีปริมาณน้ำมันสำรองเพิ่มขึ้นอีก 7 วัน เพื่อสร้างความมั่นใจว่าจะสามารถรักษาเสถียรภาพพลังงานได้โดยไม่กระทบกับการดำรงชีวิตของประชาชน

“สำรองน้ำมันที่ปรับเพิ่ม 1% จะกระทบต้นทุนโรงกลั่นฯ ประมาณ 24,000 ล้านบาท ซึ่งจะส่งผ่านไม่ยังเนื้อน้ำมัน ประมาณ 60 สตางค์ต่อลิตร และกระทบต่อราคาขายปลีกน้ำมัน”

นายสราวุธ แก้วตาทิพย์ อธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ กล่าวว่า ในการดำเนินงานช่วงเปลี่ยนผ่านสำหรับแหล่งก๊าซธรรมชาติกลุ่มเอราวัณ หรือ แปลง G1/61 นั้น ปัจจุบันผู้รับสัมปทานรายเดิม (บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด) และผู้รับสัญญารายใหม่ (บริษัท ปตท.สผ. อีดี) ได้ลงนามในข้อตกลงความร่วมมือต่าง ๆ ในช่วงเปลี่ยนผ่านของแหล่งก๊าซธรรมชาติกลุ่มเอราวัณ ซึ่งจะทำให้การดำเนินการตามสัญญาแบ่งปันผลผลิตในโครงการแปลง G1/61 เดินหน้าต่อไป และกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติจะเร่งผลักดันให้บริษัท ปตท.สผ. อีดี เข้าดำเนินงานเตรียมการผลิตก๊าซธรรมชาติจากแหล่งดังกล่าว เพื่อให้ได้ปริมาณตามเงื่อนไขโดยเร็วที่สุด รวมทั้งจะกำกับ ดูแล ให้การดำเนินงานช่วงเปลี่ยนผ่านซึ่งจะเริ่มในปลายเดือน เม.ย. 65 เป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้อย่างราบรื่น

นอกจากนี้ กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ยังได้มีแนวทางสำหรับการบริหารจัดการก๊าซธรรมชาติ ประกอบด้วย การจัดหาก๊าซธรรมชาติส่วนเพิ่มจากแหล่งก๊าซธรรมชาติที่มีศักยภาพ ได้แก่ แหล่งอาทิตย์ แปลง B8/32 และแปลง G2/61 รวมทั้งกำกับดูแลให้ผู้รับสัมปทานทุกรายเตรียมความพร้อมในการผลิตก๊าซธรรมชาติให้เต็มความสามารถ เลื่อนแผนการหยุดซ่อมบำรุงที่ไม่จำเป็นออกไป ตลอดจนได้เร่งดำเนินการเปิดให้สิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียมรอบที่ 24 บริเวณทะเลอ่าวไทย เพื่อนำทรัพยากรปิโตรเลียมมาใช้ประโยชน์ให้เต็มที่และเพิ่มโอกาสในการพบแหล่งปิโตรเลียมในประเทศ และนับเป็นแนวทางหนึ่งที่จะช่วยสนับสนุนในส่วนของการจัดหาปิโตรเลียมในระยะยาวด้วย