ผู้ชมทั้งหมด 1,324
ไทยออยล์ หวังผลประกอบการปีนี้โตต่อเนื่องจากปี64 รับวอลุ่มเพิ่มตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและราคาน้ำมันดิบที่ยืนในระดับสูง พร้อมจับตาเหตุขัดแย้ง “รัสเซีย-ยูเครน” กดดันราคาน้ำมันปีนี้ทะลุ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เตรียมบันทึกกำไรพิเศษขายหุ้น GPSC ราว 1.1 หมื่นล้านบาท ตามแผนปรับโครงสร้างการเงิน
นายณัฐพล นพรัตน์วงศ์ ผู้จัดการแผนกนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP เปิดเผยในงาน Oppday Year End 2021 บริษัท เมื่อวันที่ 8 มี.ค.2565 โดยระบุว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานของบริษัทในปีนี้ คาดว่า ยอดขายจะเติบโตขึ้นตามอัตราการใช้กำลังการผลิตที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากปีก่อน ที่มีระดับอยู่ที่ 100% และทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจหลังโควิด-19 มีความรุนแรงน้อยลง ขณะที่ราคาผลิตภัณฑ์จะปรับเพิ่มขึ้นตามความต้องการและราคาน้ำมันดิบในปีนี้ที่สูงขึ้นหากเทียบกับปีก่อนเฉลี่ยอยู่ที่ระดับเกือบ 70 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล แต่ต้นปีนี้ราคาขึ้นไปเกิน 90 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลแล้ว
ส่วนค่าการกลั่น ตลาดสิงคโปร์ GRM มีทิศทางกลับไปเป็นปกติเทียบกับช่วงก่อนการแพร่ระบาดของโควิด-19 และน่าจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่ธุรกิจอะโรเมติกส์จะส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์(สเปรด) ใกล้เคียงช่วงก่อนเกิดโควิด-19 ดังนั้นธุรกิจโรงกลั่น จะเป็นธุรกิจหลักที่สนับสนุนผลการดำเนินงานของบริษัทในปีนี้ ให้เติบโตอย่างต่อเนื่องจากปีก่อน
“ปีนี้ เบื้องต้นประเมินว่า ราคาน้ำมันดิบ ยังยืนอยู่ระดับสูง ภายใต้สมมติฐานกรณีความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน จบเร็ว และไม่มีมาตรการคว่ำบาตรเพิ่ม คาดว่าราคาจะย่อลงมาอยู่ที่ระดับ 90-95 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล แต่หากกรณีสู้รบยืดยื้อและมีมาตรการรุนแรงจากฝั่งตะวันตกออกมาก ก็คาดว่าราคาจะเกือบ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล”
อย่างไรก็ตาม กรณีความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน ที่อาจจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกน้ำมันในตลาดโลกลดลง หรือ อาจหายไปราว 3 ล้านบาร์เรลต่อวันนั้น ยังเป็นปัจจัยที่ต้องติดตามต่อไป แต่ปัจจุบันโรงกลั่นน้ำมันในหลายประเทศได้ลดการสั่งซื้อน้ำมันจากรัสเซียแล้ว ส่งผลกระทบให้ราคาน้ำมันดิบปรับเพิ่มขึ้น ซึ่งปัจจัยดังกล่าว จะส่งผลดีต่อไทยออยล์ ทำให้มีการรับรู้กำไรจากการสต็อกน้ำมัน ส่วนในแง่ของมาร์จิน ยังไม่มีผลมากนัก ขณะที่ GRM อยู่ในระดับที่ดี ประมาณ 6-7 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และคาดว่าไตรมาส 1 ปีนี้ GRM จะอยู่ที่ระดับ 7 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 4 ปีที่ผ่านมา ที่อยู่ในระดับ 6 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
นางวนิดา บุญภิรักษ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ด้านการเงินและบัญชี บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แผนปรับโครงสร้างเงินทุนของบริษัท ปีนี้ ตั้งเป้าหมายจะปิดดีล 2 รายการสำคัญภายในปีนี้ คือ การการปรับโครงสร้างการถือหุ้นในธุรกิจไฟฟ้าของ ปตท. โดย ปตท. และ/หรือ บริษัท สยาม แมนเนจเม้นท์โฮลดิ้ง จำกัด (SMH) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ ปตท.ถือหุ้นทั้งหมด จะเข้าซื้อหุ้นสามัญ บริษัท โกลบอลเพาเวอร์ซินเนอร์ยี่ จำกัด(มหาชน) หรือ GPSC จาก ไทยออยล์ เป็นจำนวน 304,098,630 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 10.78% ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของ GPSC ในราคารวมประมาณ 22,351 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้ ไทยออยล์ รับรู้กำไรพิเศษเข้ามาประมาณ 11,000 ล้านบาท
และการการเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัทฯ โดยส่วนที่1 เป็นการเสนอขายให้แก่ประชาชนทั่วไป (Public Offering) จำนวนไม่เกิน 239,235,000 หุ้น ซึ่งรวมการเสนอขายหุ้นให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทฯ ในสัดส่วนไม่น้อยกว่า 80% โดยจัดสรรตามสัดส่วนการถือหุ้น และส่วนที่ 2 บริษัทอาจมีการพิจารณาจัดสรรหุ้นส่วนเกิน (Over-Allotment) จำนวนไม่เกิน 35,885,000 หุ้น คิดเป็นสัดส่วนไม่เกิน 15% ของจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดที่เสนอขายในคราวนี้ ซึ่งจะดำเนินการไปพร้อมกันกับการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายต่อประชาชนเป็นการทั่วไป (Public Offering) ทั้งนี้วันที่คาดว่าจะแจ้งราคาจองซื้อสุดท้ายวันที่ 30 มิ.ย.2565
โดยการเพิ่มทุนและการจำหน่ายหุ้น GPSC ดังกล่าว มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อนำเงินที่บริษัทฯ ได้รับไปชำระคืนเงินกู้ยืมให้แก่ ปตท. และธนาคารพาณิชย์ จากเงินกู้ยืมระยะสั้น (Bridging Loan) ที่มีการกู้ยืมเพื่อรองรับการเข้าลงทุนของบริษัทฯ ใน PT Chandra Asri Petrochemical Tbk (CAP) เมื่อไตรมาส 3/64 ทั้งนี้ การเพิ่มทุนและการจำหน่ายหุ้น GPSC ในครั้งนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของแผนการจัดหาเงินทุนสำหรับการปรับโครงสร้างทางการเงินระยะยาวของบริษัทฯ โดยจะนำเรื่องดังกล่าวเสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นฯ พิจารณาในวันที่ 7 เม.ย.นี้