ผู้ชมทั้งหมด 714
GC คาดผลการดำเนินงานปี65 ดีต่อเนื่อง เหตุรับรู้รายได้จากการเข้าซื้อกิจการ Allnex แม้ปริมาณการขายใกล้เคียงปีก่อน หลังปิดซ่อมบำรุงโรงงานหลายช่วง ขณะที่ราคาน้ำมันดิบพุ่งหนุนมาร์จินโรงกลั่นดี ส่วนปิโตรเคมีทรงตัวจากกำลังผลิตใหม่เพิ่ม เล็งออกหุ้นกู้ 1.7 พันล้านดออลาร์ ภายในมี.ค.นี้
ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ (CEO) บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC เปิดเผยว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานปี 2565 แม้ว่าบริษัทจะมีแผนปิดซ่อมบำรุงทั้งในส่วนของโรงกลั่นน้ำมัน และโรงงานโอเลฟิน ซึ่งจะส่งผลให้กำลังการผลิตลดลงจากปีก่อนเล็กน้อย แต่ขณะเดียวกันก็จะมีกำลังการผลิตใหม่ที่เข้ามา เช่น โครงการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต Olefins Reconfiguration Project (ORP) โครงการโพรพิลีนออกไซด์ (Propylene Oxide :PO) เป็นต้น รวมถึงรับรู้ผลกำไรจากการเข้าซื้อกิจการของ allnex ที่คาดว่าจะมีรายได้ประมาณ 2,000 ล้านยูโร หรือ 74,167.2 ล้านบาท (ที่อัตราแลกเปลี่ยน 37.08 บาท ต่อ 1 ยูโร) และการเข้าซื้อหุ้นของ บริษัท วีนิไทย จากัด (มหาชน) หรือ VNT ซึ่งจะเข้ามาเสริมผลการดำเนินงานของบริษัท และกำลังการผลิตของบริษัทให้มีการเติบโตระยะยาว
“ผลการดำเนินงานปีนี้ หากดูจากราคาน้ำมันดิบที่สูงขึ้น ส่งผลให้มาร์จินโรงกลั่นไปได้ดี ส่วนปิโตรเคมีทรงตัว จากกำลังผลิตใหม่ที่ออกสู่ตลาดมากขึ้น ซึ่งราคาเม็ดพลาสติกดีขึ้น แต่ พาราไซลีน (Paraxylene)และสายเบนซีน (Benzene) ลดลง”
อย่างไรก็ตาม ในปีนี้ บริษัท มีแผนจะออกหุ้นกู้สกุลเงินดอลลาร์ฯ วงเงิน 1,700 ล้านดอลลาร์ ภายในเดือนมี.ค.นี้ ซึ่งจะเป็นหุ้นกู้ระยาว ประมาณ 10-30 ปี เพื่อลดต้นทุนทางการเงิน หลังจากก่อนหน้านี้ บริษัทได้ดำเนินการออกและเสนอขายหุ้นกู้ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกันจำนวนรวมทั้งสิ้น 30,000 ล้านบาท ให้แก่ผู้ลงทุนสถาบันและ/หรือผู้ลงทุนรายใหญ่ เพื่อชำระคืนเงินกู้ และ/หรือ หุ้นกู้สกุลเงินเหรียญสหรัฐฯ ที่ครบกำหนดในเดือนกันยายน 2565 และ/หรือชำระคืนเงินกู้ก่อนกำหนดและ/หรือ เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน เพื่อรองรับการดำเนินธุรกิจทั่วไปไปแล้ว ซึ่งก็ถือเป็นจังหวะที่ดี ได้อัตราดอกเบี้ยต่ำ
ขณะเดียวกัน บริษัท ยังมองหาโอกาสการควบรวมหรือเข้าซื้อกิจการ(M&A) เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจ โดยจะมุ่งเน้นไปที่ธุรกิจที่มีการปลดปล่อยคาร์บอนต่ำ ซึ่งน่าจะเห็นความคืบหน้าในเข้าซื้อกิจการออกมาต่อเนื่อง แต่คงยังไม่ใช่ธุรกิจที่มีขนาดใหญ่เท่ากับการเข้าซื้อกิจการของ allnex
สำหรับความคืบหน้าโครงการปิโตรเคมี คอมเพล็กซ์ที่รัฐโอไฮโอ สหรัฐอเมริกา นั้น บริษัทมองว่า เป็นโครงการที่ดี และน่าลงทุน เนื่องจากสหรัฐฯเป็นฐานการผลิตที่ดี ต้นทุนต่ำ มีตลาดขนาดใหญ่ แต่เนื่องจากเป็นโครงการที่มีมูลค่าการลงทุนสูง ดังนั้น จำเป็นต้องมีพันธมิตรร่วมลงทุน และบริษัทอยู่ระหว่างการหาพันธมิตรที่เหมาะสม ซึ่งยังไม่มีเป้าหมายว่าจะตัดสินใจลงทุนขั้นสุดท้าย(FID) เมื่อไหร่ เพราะยังต้องพิจารณาหลายปัจจัยให้รอบคอบ
ส่วนความคืบหน้าโครงการนครสวรรค์ไบโอคอมเพล็กซ์ ระยะที่ 2 มูลค่า 1,400 ล้านบาท หลังจากที่บริษัท NatureWorks LLC (“NatureWorks”) ตัดสินใจลงทุนโรงงานผลิตพลาสติกชีวภาพชนิด(PLA) นั้น ขณะนี้เป็นไปตามแผน โดยเริ่มเข้าสู่กระบวนการออกแบบโรงงาน
ดร.คงกระพัน กล่าวอีกว่า ในปี 2565 บริษัท พร้อมปรับเปลี่ยนองค์กร ให้ตอบโจทย์ธุรกิจเพื่ออนาคต สอดคล้อง 5 เมกะเทรนด์โลก ประกอบด้วย Climate Change & Energy Transition, Demographic Shift, Health & Wellness, Urbanization และ Disruptive Technology ที่มีผลต่อการเติบโต การดำรงชีวิตประจำวันของมนุษย์ การแข่งขันทางการค้า การปรับเปลี่ยนทิศทางของภาคอุตสาหกรรมสู่ธุรกิจคาร์บอนต่ำ
โดย บริษัท มีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย มุ่งเน้นดำเนินธุรกิจเคมีภัณฑ์ครบวงจรที่ช่วยอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวันของผู้คน เช่น บรรจุภัณฑ์ เครื่องนุ่งห่ม อุปกรณ์การสื่อสารและอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ยานยนต์ วัสดุก่อสร้าง พลาสติกเชิงวิศวกรรม ซึ่งล้วนเป็นผลิตภัณฑ์ที่อยู่รอบตัวสอดรับการแนวคิดแคมเปญสื่อสาร #ยิ่งใกล้คุณยิ่งต้องดี เพื่อตอกย้ำภารกิจในการสร้างความมั่นใจว่า ทุกวัตถุดิบที่มาจาก GC ได้รับการพัฒนาให้ดีที่สุด ทั้งผลิตภัณฑ์ที่ดี กระบวนการผลิตและการบริหารจัดการที่ดี และ ดีต่อสิ่งแวดล้อมดีต่อโลก