BPP เผยกำลังผลิตเติบโตเพิ่ม 545 MW ในรอบ 1 ปี

ผู้ชมทั้งหมด 672 

BPP เผยกำลังผลิตเติบโตเพิ่ม 545 MW จากโรงไฟฟ้า 10 แห่ง ในรอบ 1 ปี ชูรางวัลการันตีจากองค์กรชั้นนำ สะท้อนความมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจไฟฟ้าอย่างยั่งยืน พร้อมเดินหน้าขยายกำลังผลิตไฟฟ้ารวมถึง 5,300 เมกะวัตต์ ภายในปี 2568

นายกิรณ ลิมปพยอม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BPP ผู้ผลิตพลังงานไฟฟ้าคุณภาพเพื่อโลกที่ยั่งยืน ด้วยสมดุลของพอร์ตธุรกิจจากทั้งพลังงานความร้อน (Thermal Power Business) และพลังงานหมุนเวียน (Renewable Power Business) ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก กล่าวว่า ปัจจุบัน BPP ได้รับการจัดอันดับอยู่ในดัชนี SET100 และดัชนี SETHD ที่แสดงให้เห็นว่าเป็นหลักทรัพย์ที่จ่ายเงินปันผลย้อนหลัง 3 ปีอยู่ในเกณฑ์ดี ด้วยการเป็นหลักทรัพย์ที่มีพื้นฐานดี มีสภาพคล่อง และสร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่ผู้ถือหุ้นและนักลงทุน โดยในระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมา BPP มุ่งสร้างการเติบโตของธุรกิจผลิตพลังงานไฟฟ้าภายใต้กลยุทธ์ Greener & Smarter

โดยได้ขยายกำลังผลิตจากการลงทุนในสินทรัพย์ใหม่ๆ ที่เดินเครื่องจ่ายไฟแล้ว พร้อมสร้างรายได้ทันที และการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์โครงการโรงไฟฟ้าในพอร์ตธุรกิจตามแผน รวมทั้งสิ้น 10 แห่ง คิดเป็น เมกะวัตต์ที่มีคุณภาพ (Quality Megawatt) ทั้งหมด 545 เมกะวัตต์ ในประเทศกลยุทธ์ของกลุ่มบ้านปู ได้แก่ ญี่ปุ่น เวียดนาม ออสเตรเลีย และสหรัฐอเมริกา

ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ยังได้รับการประเมินผลการดำเนินงานด้านความยั่งยืนจากองค์กรชั้นนำระดับโลกอย่าง S&P Global ในระดับสูงมาก (Very High) เทียบเท่าสมาชิก Dow Jones Sustainability Indices (DJSI) ซึ่งเป็นดัชนีที่เป็นที่ยอมรับจากนักลงทุนนานาชาติ และได้รับการคัดเลือกให้อยู่ใน Sustainability Yearbook 2022 ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งยืนยันถึงความพร้อมของบริษัทฯ และความเชื่อมั่นของผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่ายในการเดินหน้าสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน เพื่อบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ คือมีกำลังผลิตไฟฟ้ารวมถึง 5,300 เมกะวัตต์ ภายในปี 2568

ทั้งนี้ในรอบปีที่ผ่านมา กำลังผลิตตามสัดส่วนการลงทุนที่ BPP เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์เพิ่มเติมในโรงไฟฟ้า 10 แห่ง รวม 545 เมกะวัตต์ ประกอบด้วย โรงไฟฟ้า HELE จำนวน 2 แห่ง ได้แก่ โรงไฟฟ้านาโกโซ (Nakoso IGCC) ในจังหวัดฟุกุชิมะ ประเทศญี่ปุ่น กำลังผลิต 73 เมกะวัตต์ ซึ่งใช้เทคโนโลยีผสมผสานในการแปลงสถานะถ่านหินให้กลายเป็นก๊าซเพื่อผลิตพลังงานไฟฟ้า (Integrated Gasification Combined Cycle: IGCC) และโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ Temple I ในรัฐเท็กซัส สหรัฐอเมริกา 384 เมกะวัตต์ เป็นโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ที่ใช้เทคโนโลยี Combined Cycle Gas Turbines หรือ CCGT ที่อยู่ในตลาดที่มีการซื้อขายไฟฟ้าแบบเสรี และตั้งอยู่ในพื้นที่ศูนย์รวมเศรษฐกิจและประชากรที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว

พร้อมกันนี้ยังได้เพิ่มโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในพอร์ตโฟลิโออีก 8 แห่ง ได้แก่ โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์เบอริล (Beryl) และมานิลดรา (Manildra) ในรัฐนิวเซาท์เวลส์ ประเทศออสเตรเลีย กำลังผลิตรวม 16.6 เมกะวัตต์ ซึ่งนับเป็นการสร้างรากฐานการลงทุนในธุรกิจพลังงานหมุนเวียนในออสเตรเลีย รวมทั้งการทยอยเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 3 แห่งในญี่ปุ่น ได้แก่ เคเซนนุมะ (Kesennuma) นิฮอนมัสซึ (Nihonmatsu) และชิราคาวะ (Shirakawa) กำลังผลิตรวม 21 เมกะวัตต์ ที่ล้วนมีโครงสร้างราคารับซื้อไฟฟ้าระยะยาวแบบ Feed-in Tariff (FiT) สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีกลับสู่บริษัทฯ

รวมไปถึงการลงทุนในโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์อีก 3 แห่งในเวียดนาม ซึ่งเป็นประเทศที่มีปริมาณความต้องการใช้พลังงานไฟฟ้าสูงและมีนโยบายสนับสนุนด้านพลังงานหมุนเวียนที่ชัดเจนจากภาครัฐ ได้แก่ ฮาติ๋ญ (Ha Tinh) กำลังผลิต 25 เมกะวัตต์ ตามด้วย ชูง็อก (Chu Ngoc) และน็อนไห่ (Nhon Hai) กำลังผลิตรวม 25 เมกะวัตต์

ด้วยความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลกิจการ (Environmental, Social, and Governance: ESG) เพื่อส่งมอบพลังงานไฟฟ้าที่มีคุณภาพอย่างยั่งยืน ในปี 2564 ที่ผ่านมา BPP ยังได้รับรางวัลและการประเมินจากองค์กรชั้นนำทั้งในไทยและต่างประเทศ ดังนี้  

ได้รับรางวัลด้านความยั่งยืน Rising Star Sustainability Awards ในกลุ่มรางวัล Sustainability Excellence ประจำปี 2564 ในกลุ่มมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Capitalization) 30,000-100,000 ล้านบาท จากงาน SET Award 2021 จัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและวารสารการเงินธนาคาร

ได้รับการคัดเลือกเป็นบริษัทจดทะเบียนที่มีรายชื่ออยู่ใน “หุ้นยั่งยืน” หรือ Thailand Sustainable Investment (THSI) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

ได้รับการจัดอันดับให้เป็น 1 ใน 168 บริษัทจดทะเบียนที่ได้รับการจัดอันดับอยู่ในระดับดีเลิศ (Excellence CG Scoring) จากผลสำรวจการกำกับดูแลกิจการบริษัทจดทะเบียนประจำปี 2564 โดยสถาบันกรรมการบริษัทไทย

ได้รับอันดับเครดิตองค์กรที่ระดับ “A+” ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” จากทริสเรทติ้ง ซึ่งเป็นสถาบันจัดอันดับเครดิตชั้นนำในประเทศไทย