ผู้ชมทั้งหมด 842
IRPC 5 ปี เตรียมงบ 6.3 หมื่นล้าน รุกธุรกิจใหม่เต็มสูบ เล็งซื้อกิจการใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ คาดไตรมาส1/65 ปิดดีลได้ 1 กิจการ มั่นใจปีหน้าผลงานยังเติบโตต่อเนื่อง หลังปี 64 ผลงานฉายแววโดดเด่น
นายชวลิต ทิพพาวนิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC เปิดเผยว่า แผนการลงทุน 5 ปี (2022-2026) เตรียมงบลงทุนราว 43,000 ล้านบาท และได้จัดเตรียมงบลงทุนในอนาคต (Provisional Capital Expenditure) อีกราว 20,000 ล้านบาท โดยในสัดส่วนของงบลงทุนตามแผน 5 ปีนั้นแบ่งเป็นการลงทุนธุรกิจใหม่ในสัดส่วน 35-40% ซึ่งจะเน้นทางด้าน Material Solution และ Energy Solution
ทั้งนี้จากการลงทุนในธุรกิจใหม่นั้นในอนาคตคาดว่าจะเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยสนับสนุนการเติบโตของ IRPC ได้เป็นอย่างดี โดยได้ตั้งเป้าหมาย EBITDA มากกว่า 20,000 ล้านบาท ในปี 2025 และ EBITDA เพิ่มขึ้นเป็น 30,000 ล้านบาทในปี 2030 ซึ่งจะเป็นสัดส่วนของธุรกิจใหม่ 50%
ส่วนแผนการลงทุนในปี 2565 บริษัทฯ เตรียมงบลงทุนไว้ราว 20,000 ล้านบาท แบ่งเป็นการลงทุนในธุรกิจใหม่ ซื้อกิจการ (M&A) การร่วมลงทุน (JV) ราว 8,000 ล้านบาท โดยแผนการ M&A นั้นคาดว่าจะปิดดีลธุรกิจใหม่ได้ 1 ธุรกิจในไตรมาส 1/2565 ส่วนอีก 1 ธุรกิจเป็นบริษัทอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยอยู่ระหว่างการเจรจาคงใช้ระยะเวลานานถึงได้ข้อสรุป
พร้อมทยอยลงทุนในโครงการปรับปรุงคุณภาพน้ำมันดีเซลตามมาตรฐานยูโร 5 (Ultra Clean Fuel Project: UCF) ราว 6,000 ล้านบาท ที่เหลือเป็นการลงทุนซ่อมบำรุงขบวนการผลิต ซึ่งคาดว่าจะมีการปิดซ่อมบำรุงในไตรมาส 3-4/65
อย่างไรก็ตามโครงการ UCF ในขณะนี้เริ่มดำเนินการก่อสร้างแล้ว โดยมีมูลค่าโครงการรวมอยู่ที่ 1.33 หมื่นล้านบาท คาดว่าจะสามารถดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในปี 2024 ซึ่งยังสามารถเพิ่มสัดส่วนการขายเม็ดพลาสติกชนิดพิเศษ (Specialty) จาก 20% ในปี 2021 เป็น 52% ในปี 2025 โดยบูรณาการกระบวนการทำงานเพื่อเพิ่มความเร็วในการเข้าตลาดและการตอบสนองต่อลูกค้า
สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/2564 คาดว่าจะเติบโตต่อเนื่องจากไตรมาส 3/2564 จากราคาน้ำมันคาดว่าจะเฉลี่ยในระดับสูงที่ 75-78 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เนื่องจากเป็นช่วงไฮซีซั่นของการใช้น้ำมัน ขณะที่ส่วนต่างราคาของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี (สเปรด) และสเปรด ปิโตรเลียมปรับตัวดีขึ้น
ส่วนภาพรวมผลการดำเนินงานทั้งปี 2564 มีแนวโน้มเติบโตดีหลังจากในช่วง 9 เดือนแรกมีกำไรสุทธิ 12,310 ล้านบาท หลังจากเศรษบกิจเริ่มกลับมาฟื้นตัว ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น โดยในปีนี้คาดว่าจะเฉลี่ยในระดับ 75-78 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล
ขณะที่แนวโน้มผลการดำเนินงานในปี 2565 มองว่าจะยังมีทิศทางการเติบโตที่ดี โดยคาดว่ากำลังการกลั่นจะอยู่ในระดับ 185,000-190,000 บาร์เรลต่อวัน ใกล้เคียงกับปี 2564 ส่วนค่าการกลั่นรวม (GIM) ของปี 2565 คาดว่าจะยังคงทรงตัวอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะสเปรดปิโตรเลียมมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น ส่วนสเปรดปิโตรเคมีอาจจะทรงตัวอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปี 2564
ส่วนกำไรขั้นต้นจากการผลิตตามราคาตลาด (Market GIM) ของปี 2565 คาดว่าจะอยู่ในระดับ 13-14 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล สูงกว่าปี 2564 เล็กน้อยที่คาดว่าจะอยู่ในระดับ 13 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันคาดว่าจะเฉลี่ยในระดับ 65-68 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ทั้งนี้เนื่องจากทั่วโลกมีการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด – 19 ได้มากขึ้น เศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัว ขณะที่เศรษฐกิจไทยก็มีแนวโน้มฟื้นตัวเช่นกัน หลังจากได้มีการเปิดประเทศ และอัดเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจะเป็นปัจจัยหนุนต่อธุรกิจปิโตรเคมี และปิโตรเลียม