ผู้ชมทั้งหมด 1,057
GC คาดผลการดำเนินงานปี 65 โตต่อเนื่องจากปี 64 เหตุกำลังการผลิตเพิ่ม พร้อมรับรู้รายได้การเข้ากิจการ allnex และซื้อหุ้นของวีนิไทย แย้มยังมองโอกาสทำดีล M&A โครงการสร้างมูลค่าเพิ่ม ขณะที่ไตรมาส 4 ปีนี้ แนวโน้มดีขึ้นจากไตรมาส 3
นายจิตศักดิ์ สุนทรพันธุ์ Vice President Corporate Finance & Investor Relations บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC เปิดเผยในงาน Opportunity Day บริษัทจดทะเบียนพบผู้ลงทุนQ3/2021 วันที่ 23 พ.ย.2564 โดยระบุว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 4 ปีนี้ คาดว่าจะดีต่อเนื่องจากไตรมาส 3 ที่ผ่านมา จากปริมาณความต้องการใช้น้ำมันที่กลับมาเพิ่มขึ้นหลังจากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายลงจนหลายประเทศได้คลายมาตรการล็อคดาวน์ ซึ่งน่าจะส่งผลให้ค่าการกลั่น(GRM) ไตรมาส4 ดีต่อเนื่อง และบริษัทมั่นใจว่าจะดำเนินมาตรการต่างๆเพื่อให้มีผลประกอบการดีต่อเนื่อง
ส่วนแนวโน้มผลการดำเนินงานปี 2565 แม้ว่าบริษัทจะมีแผนปิดซ่อมบำรุงทั้งในส่วนของโรงกลั่นน้ำมัน และโรงงานโอเลฟิน แต่จากกำลังการผลิตใหม่ที่เข้ามาจากที่แล้วเสร็จในปีนี้ เช่น โครงการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต Olefins Reconfiguration Project (ORP) โครงการโพรพิลีนออกไซด์ (Propylene Oxide :PO) เป็นต้น รวมถึงรับรู้ผลกำไรจากการเข้าซื้อกิจการของ allnex และการเข้าซื้อหุ้นของ บริษัท วีนิไทย จากัด (มหาชน) หรือ VNT ซึ่งจะเข้ามาเสริมผลการดำเนินงานของบริษัท และกำลังการผลิตของบริษัทให้มีการเติบโตระยะยาว
“หากการเข้าซื้อ allnex ปิดดีลได้ตามแผนภายในสิ้นปีนี้ ก็จะทำให้บริษัทมีกำลังการเพิ่มขึ้น 7% และสะท้อนต่อผลประกอบการในปีหน้า”
![](https://www.ten-news.com/wp-content/uploads/2021/11/S__138469411-1024x574.jpg)
อย่างไรก็ตาม ในปี 2564 บริษัท มีกำไรพิเศษจากการขายเงินลงทุนในการ GPSC หลังได้ลดสัดส่วนการถือหุ้นจาก 22.73% เหลือ 10% ทำให้มีกำไรเข้ามา 14,000 ล้านบาท ดังนั้น หากจะนำผลการดำเนินงานในปี 2565 มาเปรียบเทียบกับปีนี้ ก็ควรจะหักกำไรพิเศษตรงนี้ออกก่อน และเปรียบเทียบเฉพาะธุรกิจหลักเท่านั้น
ขณะที่งบลงทุนในปี 2565 หรือ ตามแผนการลงทุน 5 ปี (2564-2568) ก็ยังเป็นไปตามที่วางไว้ซึ่งจะใช้เงินไม่มากนัก แต่ใน 10 ปี บริษัทยังมีเป้าหมายที่จะสร้างการเติบโตในธุรกิจHigh Value Product (HVP) จากปัจจุบันมาสัดส่วน 29% เพิ่มเป็น 49% ของพอร์ต โดยยังมองหาโอกาสทำดีลควบรวมหรือเข้าซื้อกิจการ(M&A)เพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว
ส่วนความคืบหน้าการเข้าซื้อหุ้นของ บริษัท วีนิไทย จากัด (มหาชน) หรือ VNT หากสามารถดำเนินการทำเทนเดอร์ออฟเฟอร์ (Tender Offer) ได้ตามแผนในเดือนธ.ค.นี้ ก็คาดว่าจะเสร็จสิ้นในเดือนก.พ.ปี 2565 และจะเริ่มรับรู้ผลประกอบการเพิ่มขึ้นตั้งแต่เดือน ก.พ.เป็นต้นไป
![](https://www.ten-news.com/wp-content/uploads/2021/11/S__138469412-1024x578.jpg)
นายพนิต แย้มประเสริฐ Financial Analyst Investor Relations บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในปี 2565 คาดการณ์ว่า ราคาน้ำมันดิบจะเคลื่อนไหวในกรอบ 72-75 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จากความต้องการใช้น้ำมันที่ฟื้นตัว หลังหลายประเทศคลายล็อกดาวน์ ซึ่งจะหนุนให้ธุรกิจโรงกลั่นฯ มีมาร์จินดีขึ้นตามดีมานด์ที่เพิ่มขึ้น ขณะที่สายพาราไซลีน (Paraxylene) คาดว่า ราคาเฉลี่ยจะอยู่ที่ 470-490 ดอลลาร์ต่อตัน สายเบนซีน (Benzene) ราคาเฉลี่ย อยู่ที่ 600-620 ดอลลาร์ต่อตัน ขณะที่ สเปรดเม็ดพลาสติดชนิดความหนาแน่นสูง(HDPE)กับแนฟทา จะยังรักษาระดับได้ อยู่ที่ 500-510 ดอลลาร์ต่อตัน