ผู้ชมทั้งหมด 876
GULF โชว์ผลงานไตรมาส 3 กำไรโต 64% ส่วน 9 เดือนแรกกำไร 4.62 พันล้านบาท รับรู้รายได้เงินปันผลจาก INTUCH โรงไฟฟ้า GSRC มีกำไร ลุยลงทุนพลังงานหมุนเวียน วางเป้าเพิ่มสัดส่วนมากกว่า 30% ภายในปี 73
นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ กรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2564 โดยมีกำไรจากการดำเนินงาน (Core Profit) จำนวน 2,293 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 968 ล้านบาท หรือคิดเป็น 73% จากไตรมาสเดียวกันในปีก่อน และมีกำไรสุทธิ (Net Profit) ส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ ซึ่งรวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน เท่ากับ 1,588 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 64% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 970 ล้านบาท
ขณะที่ 9 เดือนแรกปี 2564 มีกำไรสุทธิ 4,626 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 2,437 ล้านบาท ส่วนของรายได้รวม (Total Revenue) GULF บันทึกรายได้รวมเท่ากับ 13,780 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5,035 ล้านบาท หรือคิดเป็น 58% จากไตรมาส 3/2563
ทั้งนี้จากผลการดำเนินงานที่เติบโตนั้น เนื่องมาจากการรับรู้รายได้เงินปันผลจาก INTUCH จำนวน 1,666 ล้านบาท ประกอบกับรับรู้ผลกำไรของโครงการโรงไฟฟ้า GSRC ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้า IPP ขนาดกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งรวม 2,650 เมกะวัตต์ หน่วยที่ 1 ขนาดกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้ง 662.5 เมกะวัตต์ ที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ไปเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2564 และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมในทะเล BKR2 ที่ประเทศเยอรมนี ที่รับรู้รายได้ครั้งแรกในไตรมาส 4/2563
นอกจากนี้กำไรที่เพิ่มขึ้นยังได้รับปัจจัยหนุนจากโครงการโรงไฟฟ้า 12 SPP ภายใต้กลุ่ม GMP จากปริมาณการขายไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และลูกค้าอุตสาหกรรม โดยเฉพาะกลุ่มเครื่องประดับ กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และกลุ่มบรรจุภัณฑ์ โดย 12 SPP มี Load Factor เฉลี่ยของกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมในไตรมาสนี้ เท่ากับ 59% เทียบกับ 57% ปีที่แล้ว
ประกอบกับโครงการโรงไฟฟ้า 7 SPP ภายใต้กลุ่ม GJP ยังสามารถขายไฟฟ้าให้ลูกค้าอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นจากกลุ่มสิ่งทอ และกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ โดยมี Load Factor เฉลี่ยของกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมเท่ากับ 61% เมื่อเทียบกับ 60% ในปีก่อน อย่างไรก็ตาม โครงการโรงไฟฟ้า GNS ซึ่งเป็นหนึ่งในโรงไฟฟ้า IPP ภายใต้ GJP มีการหยุดซ่อมบำรุงในไตรมาส 3/2564 เป็นเวลา 10 วัน จึงส่งผลให้กำไรจากการดำเนินงานของ GJP ลดลงในไตรมาสนี้เมื่อเทียบกับไตรมาส 3/2563
ส่วนรายได้จากการขายไฟฟ้าของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ GTN1 และ GTN2 ที่ประเทศเวียดนาม ลดลงเล็กน้อยจากการจำกัดการรับซื้อไฟฟ้าชั่วคราว (Temporary Curtailment) เนื่องจากยังมีการแพร่ระบาดสูงของ COVID-19 และมีการล็อกดาวน์ทั่วประเทศ จึงส่งผลกระทบต่อความต้องการใช้ไฟฟ้าของประเทศเวียดนาม อัตรากำไรขั้นต้นจากการขาย (Gross Profit Margin) ในไตรมาสนี้ เท่ากับ 24.6% ลดลงจาก 25.9% ในไตรมาส 3/2563 เนื่องจากต้นทุนค่าก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้น 14% (จาก 235.22 บาท/ล้านบีทียู เป็น 268.61 บาท/ล้านบีทียู) ในขณะที่ค่า Ft เฉลี่ยลดลงจากปีก่อน 29% (จาก -0.1188 บาท/กิโลวัตต์-ชั่วโมง เป็น -0.1532 บาท/กิโลวัตต์-ชั่วโมง)
อย่างไรก็ตามจากที่ GULF มีสัดส่วนการขายไฟฟ้าให้กับ กฟผ. ถึง 90% ซึ่งต้นทุนค่าก๊าซธรรมชาติจะถูกส่งผ่าน (pass through) ในรูปของรายได้ค่าไฟฟ้าทั้งหมดไปให้ กฟผ. ในขณะที่มีสัดส่วนการขายไฟฟ้าให้ลูกค้าอุตสาหกรรมเพียงแค่ 10% ดังนั้นจึงได้รับผลกระทบอย่างจำกัดจากราคาค่าก๊าซธรรมชาติที่เพิ่มสูงขึ้น สำหรับอัตรากำไร EBITDA Margin ในไตรมาสนี้ เท่ากับ 44% เมื่อเทียบกับ 40% ในช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยสาเหตุหลักมาจากรายได้เงินปันผลรับจาก INTUCH
ทั้งนี้ ณ วันที่ 30 กันยายน 2564 GULF มีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Net Interest-Bearing Debt to Equity) เท่ากับ 2.34 เท่า สูงขึ้นจาก 1.75 เท่า ณ สิ้นงวดไตรมาส 2/2564 สาเหตุหลักเนื่องจาก GULF ได้ทำการกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินจำนวน 48,612 ล้านบาท เพื่อชำระค่าหุ้นของ INTUCH ที่ได้มาจากการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ (Tender Offer)
อย่างไรก็ตาม ในไตรมาส 4/2564 คาดว่าอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นจะลดลงมาที่ประมาณ 2.00 เท่า หลังจากที่ GULF เปลี่ยนวิธีบันทึกบัญชีสำหรับเงินลงทุนใน INTUCH มาเป็นวิธีส่วนได้เสีย (Equity Method) ส่งผลให้ส่วนของผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้นจากกำไรที่เกิดจากการปรับมูลค่าต้นทุนเฉลี่ยของ INTUCH ให้เป็นมูลค่าตลาด ณ วันที่ 1 ตุลาคม 2564 (วันที่มีการเปลี่ยนวิธีการบันทึกบัญชี)
นางสาวยุพาพิน กล่าวเพิ่มเติมว่า ในไตรมาส 3/2564 GULF ได้ออกหุ้นกู้มูลค่ารวมทั้งสิ้น 30,000 ล้านบาท เพื่อเสนอขายให้แก่ผู้ลงทุนสถาบันและผู้ลงทุนรายใหญ่ (High Net Worth) โดยหุ้นกู้มีอายุเฉลี่ย 6 ปี ที่อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 2.5% และได้นำเงินจากการเสนอขายหุ้นกู้ส่วนหนึ่งมาชำระคืนเงินกู้ระยะสั้นที่ใช้ในการซื้อหุ้น INTUCH และเพื่อใช้ในการขยายธุรกิจในอนาคต
นอกจากนี้ GULF ตระหนักถึงความสำคัญของการพัฒนาและดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนมาโดยตลอด และเพื่อให้ธุรกิจสอดคล้องกับทิศทางพลังงานโลกที่เปลี่ยนมาใช้พลังงานสะอาดมากขึ้น และพร้อมรองรับการขยายตัวของธุรกิจพลังงานหมุนเวียนในอนาคต GULF จึงได้ปรับโครงสร้างการลงทุนในกลุ่มบริษัท โดยจัดตั้งบริษัท Gulf Renewable Energy ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ GULF ถือหุ้น 100% มาดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับพลังงานหมุนเวียนทั้งหมด เช่น โครงการพลังงานลม โครงการพลังงานแสงอาทิตย์ โครงการโซล่าร์รูฟท็อบ โครงการพลังงานชีวมวล และโครงการพลังน้ำ
รวมถึงศึกษาโครงการพลังงานหมุนเวียนทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดย GULF มีนโยบายไม่ลงทุนในธุรกิจถ่านหิน (No Coal Policy) และตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มสัดส่วนกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งจากพลังงานหมุนเวียนให้มากกว่า 30% ของกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งรวมของ GULF ภายในปี 2573