ผู้ชมทั้งหมด 480
1 ธ.ค.นี้ “ไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์” ทะยานสู่ “ซิดนีย์-เมลเบิร์น” จ่อครองตลาดออสเตรเลีย อัดโปรฯสุดถูกเริ่มต้น5,990 บาทต่อเที่ยว เล็งขยายเส้นทางบินรัสเซีย หวังเส้นทางบินเข้าญี่ปุ่น-เกาหลีกลับมาบูมช่วงไฮซีซั่น วอนรัฐคลายมาตรการป้องกันโควิดให้ถอดหน้ากาก สร้างความมั่นใจให้นักท่องเที่ยวทั่วโลก
นายธรรศพลฐ์ แบเลเว็ลด์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการบินไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์ เปิดเผยว่า ไทยเเละออสเตรเลีย มีความสัมพันธ์ที่ยาวนานกว่า 70 ปี โดยออสเตรเลียเป็นประเทศที่ติด 3 อันดับเเรกที่มีนักเรียน นักศึกษาไทยไปศึกษาต่อมากที่สุด และเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมท่องเที่ยวของคนไทย โดยเฉพาะซิดนีย์และเมลเบิร์น ซึ่งถือเป็นเมืองใหญ่ 2 อันดับเเรกทั้งในด้านเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว เเละการศึกษา ดังนั้นสายการบินไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์ (เที่ยวบิน XJ) จึงได้เปิด 2 เส้นทางใหม่บินตรงสู่ออสเตรเลีย คือ เส้นทางกรุงเทพ (สุวรรณภูมิ)-เมลเบิร์น และเส้นทางกรุงเทพ (สุวรรณภูมิ)-ซิดนีย์
โดยไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์ มีความพร้อมเต็มที่ในการให้บริการทั้งฝูงบินเเละพนักงาน ด้วยเครื่องบินขนาดใหญ่ แอร์บัส เอ 330 จำนวน 377 ที่นั่ง พร้อมจุดเเข็งด้านราคาที่คุ้มค่าที่สุด ด้วยโปรโมชั่นสุดฟินบินคุ้มราคาสมาชิกเริ่มต้นเพียง 5,990 บาทต่อเที่ยวทั้ง 2 เส้นทาง เพื่อตอบโจทย์ทั้งกลุ่มนักเรียนที่ไปศึกษาต่อ เเละนักท่องเที่ยวที่ประหยัดการเดินทางพร้อมมีเงินเหลือใช้สำหรับการท่องเที่ยวมากขึ้น สามารถสำรองที่นั่งได้ที่ airasia Super App! ตั้งแต่บัดนี้- 4 ก.ย.65 และเริ่มเดินทางได้ตั้งเเต่ 1 ธ.ค.65-25 มี.ค 66
สำหรับเส้นทางกรุงเทพ (สุวรรณภูมิ)-เมลเบิร์น ให้บริการ 3 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ ทุกวันพุธ พฤหัสบดี อาทิตย์ เริ่มบินวันที่ 1 ธ.ค. 65 ได้แก่ เที่ยวบิน XJ390 กรุงเทพ (สุวรรณภูมิ)-เมลเบิร์น ออกจากต้นทางเวลา 00.10 น. ถึงปลายทางเวลา 13.00 น. และเที่ยวบิน XJ391 เมลเบิร์น-กรุงเทพ (สุวรรณภูมิ) ออกจากต้นทางเวลา 14.30 น. ถึงปลายทางเวลา 19.20 น.
ขณะที่ เส้นทางกรุงเทพ (สุวรรณภูมิ)-ซิดนีย์ ให้บริการ 4 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ ทุกวันจันทร์ อังคาร ศุกร์ เสาร์ เริ่มบินวันที่ 2 ธ.ค. 65 ได้แก่ เที่ยวบิน XJ382 กรุงเทพ (สุวรรณภูมิ)-ซิดนีย์ ออกจากต้นทางเวลา 00.10 น. ถึงปลายทางเวลา 13.10 น. และเที่ยวบิน XJ383 ซิดนีย์-กรุงเทพ (สุวรรณภูมิ) ออกจากต้นทางเวลา 14.40 น. ถึงปลายทางเวลา 19.40 น.
นายธรรศพลฐ์ กล่าวว่า มั่นใจว่า2เส้นทางดังกล่าวจะได้รับการตอบรับที่ดี ซึ่งจากสถิติ พบว่า ชาวไทยเดินทางไปออสเตรเลียเฉลี่ยปีละประมาณ 1 แสนคน ขณะที่นักท่องเที่ยวชาวออสเตรเลียเดินทางเข้าไทยปีละประมาณ 8 แสนคน ดังนั้นคาดการณ์ว่า อัตราการขนส่งผู้โดยสารเฉลี่ย (Load Factor) ของทั้ง 2 เส้นทางจะอยู่ที่ประมาณ 85-90%
อย่างไรก็ตามเชื่อว่าการเปิดเส้นทางดังกล่าวจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของทั้ง 2 ประเทศให้ดียิ่งขึ้น เนื่องจากชาวออสเตรเลียมีความตื่นตัวด้านการท่องเที่ยว ซึ่งจากข้อมูล พบว่า ประเทศออสเตรเลียมีประชากรทั้งสิ้น 25.7 ล้านคน (ซิดนีย์ จำนวน 5.2 ล้านคน และเมลเบิร์น จำนวน 4.9 ล้านคน) ในจำนวนดังกล่าว มีประชากรที่เข้าออกประเทศเพื่อการท่องเที่ยว จำนวน 21 ล้านคน และไทยติดอันดับที่ 3 เป็นจุดหมายปลายทางของชาวออสเตรเลียที่ต้องการเดินทางไปท่องเที่ยว
นายธรรศพลฐ์ กล่าวว่า ในส่วนของเส้นทางบินไปญี่ปุ่นนั้น ปัจจุบันให้บริการ4วันต่อสัปดาห์ จากเดิมที่ให้บริการทุกวัน ซึ่งญี่ปุ่นเตรียมยกเลิกใช้ผลตรวจโควิดก่อนบินเข้าประเทศเริ่มวันที่ 7 ก.ย.นี้ ทางแอร์เอเชีย เอ็กซ์ ยืนยันว่า มีความพร้อมทั้งในส่วนของเครื่องบิน และบุคลากร เช่นเดียวกับเส้นทางไปยังประเทศเกาหลี ปัจจุบันให้บริการวันละ 1 เที่ยวบิน จากเดิมวันละ 3 เที่ยวบิน ซึ่งมี Load Factor ประมาณ 90% คาดว่าช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว (ไฮซีซั่น) สายการบินจะกลับมาให้บริการในเส้นทางของ 2 ประเทศตามปกติเหมือนช่วงก่อนการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
นายธรรศพลฐ์ กล่าวด้วยว่า ไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์ คาดว่า ในปี65 จะสามารถขนส่งผู้โดยสารรวม 300,000 คน จากที่ในปี 62 (ก่อนช่วงโควิด-19) มีผู้โดยสารอยู่ที่ 2,000,000 คน หลังจากเริ่มกลับมาให้บริการตั้งเเต่ 1 มิ.ย. 65 โดยปัจจุบันได้ให้บริการฝูงบินจำนวน 3 ลำ และคาดว่า ภายในสิ้นปีนี้ จะมีฝูงบินให้บริการจำนวน 6 ลำ จากเดิมก่อนโควิด-19 ที่มีฝูงบิน จำนวน 15 ลำ ซึ่งในปี 66 เตรียมเพิ่มฝูงบิน เพื่อรองรับเส้นทางการบินต่างๆ รวมถึงสอดรับกับความต้องการบินของผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ผลประกอบการนั้น คาดการณ์ว่า ปี 65 จะขาดทุนลดน้อยลง เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
นายธรรศพลฐ์ กล่าวอีกว่า ไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์ เตรียมเปิดให้บริการเส้นทางบินใหม่ไปยังประเทศอินเดีย เส้นทางกรุงเทพ (สุวรรณภูมิ)-นิวเดลี คาดว่า จะเริ่มทำการบินได้ภายในเดือน ต.ค. 2565 รวมถึงมีความสนใจที่จะเปิดบินเส้นทางใหม่ไปยังประเทศรัสเซีย 2 เส้นทาง คือ มอสโก และเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาจากสถานการณ์ทางการเมืองของรัสเซีย และเรื่องประกันภัยด้วย
“เทรนด์การแข่งขันของอุตสาหกรรมการบินหลังจากนี้ เชื่อว่า ยังมีการแข่งขันของแต่ละสายการบินอย่างต่อเนื่อง แต่จะแข่งขันแบบฉลาดมากขึ้น เนื่องจากในช่วงโควิด-19 แต่ละสายการบินบาดเจ็บค่อนข้างมาก และมีผลประกอบการขาดทุนกันมาตลอด โดยไม่มีมาตรการช่วยเหลือจากภาครัฐ ซึ่งสายการบินไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์ จะมุ่งเน้นเรื่องของราคาโปรโมชั่น โดยปกติแล้ว ราคาค่าโดยสารของสายการบินฯ จะต่ำกว่าสายการบินอื่นประมาณ 15-20%” นายธรรศพลฐ์ กล่าว
ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงของอุตสาหกรรมการบินในช่วงครึ่งปีหลัง 65 นั้น มองว่า มี 2 เรื่อง คือ 1.ราคาน้ำมัน ถึงแม้ว่าในขณะนี้ ต้นทุนราคาน้ำมันจะลดลงอยู่ที่ 34-35% จากเดิม 40% กว่าๆ 2.ค่าเงินบาท และอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งในเรื่องนี้ อยากให้รัฐบาล เข้ามาช่วยดูแลความเหมาะสม เช่นเดียวกับเรื่องการผ่อนคลายมาตรการการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ต้องการอยากให้ถอดหน้ากากอนามัย เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักท่องเที่ยว และแสดงให้เห็นว่าไทยปลอดภัย มีวัคซีน และแพทย์ที่มีศักยภาพ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้ามาให้มากขึ้น
นายธรรศพลฐ์ ยังกล่าวถึงความคืบหน้าการฟื้นฟูกิจการของสายการบินไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์ (รหัสเที่ยวบิน XJ) ว่า เมื่อวันที่ 22 ส.ค. 2565 ที่ผ่านมา ศาลล้มละลายกลางได้นัดสายการบินเพื่อไต่สวนนัดแรก ถึงสถานะเจ้าหนี้ และมูลค่าหนี้นั้น ศาลฯ ได้รับเรื่องเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และเตรียมนัดไต่สวนครั้งต่อไปในวันที่ 14 ก.ย. นี้ ขณะที่ สายการบินฯ จะเป็นผู้บริหารแผนฟื้นฟูฯ ตามที่ร้องขอ ก่อนที่จะเข้าสู่กระบวนการอื่นๆ คาดว่า จะได้ข้อสรุปที่ชัดเจนภายในสิ้นปี 65